CoLA - 013


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 13
「แสงสลัว, หิมะริมหน้าต่าง」

 

... ...หนาว
ภายในร้านตอนนี้กำลังหนาวแบบที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับโลกนี้เลย

เตาผิงถูกวางไว้ที่ใจกลางร้าน
มันเป็นไอเทมที่สำคัญอย่างมากต่อการเอาตัวรอดในฤดูหนาวแห่งเกนโซวเคียวที่หนาวจัด
ปีนี้ผมประดับเตาผิงแบบไม่ให้มีผลลัพธ์พิเศษที่เป็นอันตรายใดๆ, และตอนนี้มันก็กำลังทำงานอยู่

... ...ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือความหนาว
ที่ว่าหนาวก็คือมันเย็นไปทั่วทั้งร้านแล้ว

เตาผิงนี้เป็นวัตถุจากโลกภายนอก, ถ้าเป็นทุกทีล่ะก็, มันจะสร้างความร้อนออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ
ตอนนี้ก็, กำลังส่องสว่างด้วยเปลวไฟแห่งโลกภายนอกที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารุนแรงขนาดไหน
เพียงเท่านี้ก็ไม่น่าจะหนาวแล้ว
ถ้าเป็นเหมือนทุกทีน่ะนะ



แต่ว่า... ...หนาวชะมัด
ว่าไปแล้วก็, เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะมียูวเรย์(ผี)อยู่ในร้านเต็มไปหมดตั้งแต่เช้า
และอุณหภูมิของยูวเรย์พวกนี้ก็ต่ำมากๆด้วย
ภายในร้านจึงถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงสลัวที่ไม่ใช่แสงของโลกนี้ (หมายถึง โลกมนุษย์ / ตรงข้ามกับคำว่าโลกโน้นหรือโลกหน้า)
แสงเหล่านี้สะท้อนกับหิมะที่นอกหน้าต่าง, และแต่งเติมสีสันมายาให้แก่ด้านในของตัวร้าน
ช่างตัดกับแสงแห่งความเป็นจริงจากเตาผิงยิ่งนัก

โชคร้ายที่ผมไม่มีความสามารถในการได้ยินเสียงของยูวเรย์เหล่านี้
ดังนั้นถึงจะอยากรู้จุดประสงค์ของยูวเรย์จำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้, ก็ไม่อาจรู้ได้
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมเชี่ยวชาญน่ะนะ

... ...ถ้ายังหนาวอย่างนี้ต่อไป, ท่าทางผมคงไม่รอดพ้นฤดูหนาวปีนี้
ออกจะเป็นวิธีที่โหดร้ายไปหน่อย, แต่คงต้องไปขอร้องผู้เชี่ยวชาญให้มากำราบยูวเรย์แล้วล่ะ
เหตุที่คิดว่าเป็นวิธีที่โหดร้าย, ก็เพราะผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายจากยูวเรย์เหล่านี้เลย



การเดินทางไปจนถึงศาลเจ้านั้นเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผม
เลยลองสื่อสารกับยูวเรย์ที่ท่าทางจะกำลังเบื่ออยู่ภายในร้านว่า 「อยากให้ไปที่ศาลเจ้าแล้วเรียกมิโกะมาให้หน่อยน่ะ」
อา, เป็นแผนที่น่าขำอะไรอย่างนี้นะ
ทั้งที่ผมจะเรียกเรย์มุมาเพื่อกำราบยูวเรย์แท้ๆ

แต่ว่า, ยูวเรย์ที่ท่าทางจะกำลังเบื่อกลับตอบตกลงทันทีด้วยความยินดี
(ถึงผมจะพูดอย่างนั้นแต่ที่จริงก็แค่ขยับส่วนหัวของดวงวิญญาณขึ้นลงเท่านั้นเอง)
จากนั้นก็บินออกไป
ดูท่าทางจะได้ยินเสียงของทางนี้
ที่ยิ่งกว่านั้นคือ, ยูวเรย์ที่อยู่ที่นี่ช่างสบายใจไร้กังวลกันเหลือเกิน
ถ้าไม่ติดว่าตัวเย็นเฉียบก็คงจะดีกว่านี้หรอก

ความเย็นของยูวเรย์มักก่อให้เกิดประโยชน์ต่อโลกในฤดูร้อนเสียมากกว่า
ค่ำคืนอันแสนร้อนในฤดูร้อน, เหล่ามนุษย์ออกตามหายูวเรย์ตามความพอใจ, แล้วนำมาใช้สร้างความเย็น
นั่นคือการทดสอบความกล้า, และนั่นคือเหตุผลที่มีการทดสอบความกล้ากันบ่อยๆในฤดูร้อน

สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีอุณหภูมิร่างกาย
มนุษย์และโยวไคเองก็เช่นกัน
ในทางกลับกัน, อุณหภูมิของอุปกรณ์จะเท่ากับสิ่งแวดล้อม
การที่ยูวเรย์ตัวเย็นเฉียบนั้น, อาจเป็นการยืนยันตัวตนซึ่งต่างจากสิ่งมีชีวิตหรืออุปกรณ์ต่างๆก็เป็นได้



――กริ๊ง, กริ๊ง

「มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ? คุณรินโนะสุเกะ
 เรียกคนอื่นออกมาแบบนี้」

เรย์มุมาแล้ว
ดูเหมือนยูวเรย์จังจะทำงานสำเร็จ

「ถามว่า อะไร งั้นเหรอ, เห็นสภาพก็น่าจะรู้แล้วนี่นา
 อยากให้เธอช่วยกำราบ, ไม่สิ ช่วยไล่ยูวเรย์เหล่านี้ไปให้หน่อยน่ะ」

「ยูวเรย์ ?
 จะว่าไปช่วงนี้ก็มีเยอะน่าดูเลยนะ
 ที่ศาลเจ้าเองก็มียูวเรย์เต็มไปหมดเลยเหมือนกัน
 ลำบากแย่เลยล่ะน้า」

กำลังจะบอกเป็นนัยๆว่า 「ฉันไม่สามารถกำราบยูวเรย์ได้」 งั้นเหรอ

「หนาวชะมัดเลย
 พอมีเจ้าพวกนี้อยู่ด้วยเนี่ย」

「ก็พวกนี้เป็นยูวเรย์นี่น้า
 แต่ว่า, ก่อนจะไล่ไป มันต้องตรวจสอบก่อนไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงมารวมตัวกัน ?」

「... ...ก็มันหนาวนี่นา
 เอาไว้ห้องอุ่นขึ้นแล้วค่อยลองตรวจสอบก็ได้」

「เอาแบบนั้นเหรอ
 ฉันว่าแบบนั้นมันจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอน้า」

เรย์มุกำลังเตรียมยันต์ในขณะที่พูดแบบนั้น
ยันต์ไล่ผีล่ะมั้ง

「ฉันจะแปะยันต์เอาไว้ให้นิดหน่อยละกัน
 แค่พอปลอบใจเท่านั้นแหละ」

「ขอบคุณ
 แต่ไม่ลงมือโดยตรงนี่ไม่สมกับเป็นเรย์มุเลยนะ
 ไม่ถูกโรคกับพวกยูวเรย์เหรอ ?」

「ฉันน่ะ, เป็นมนุษย์ผู้กำราบโยวไคนะ
 ยูวเรย์ไม่ใช่โยวไคสักหน่อย」



เรย์มุแค่แปะยันต์ไว้ตามจุดต่างๆในร้านแล้วก็กลับไป
อย่างนี้นี่เอง, ยูวเรย์ไม่เข้ามาใกล้เลยจริงๆด้วย
แต่ทว่า, มันก็แค่ระยะที่ใกล้กับยันต์มากๆเท่านั้นเอง
ภายในร้านจึงยังคงมียูวเรย์เต็มไปหมดตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ขืนเป็นแบบนี้ก็เหมือนกับไม่มีความหมายอะไรเลย, ผมจึงย้ายยันต์ไปแปะไว้ใกล้ๆกับตัวเอง และที่นอน กับพวกสินค้าที่สำคัญ

พอมองดูดีๆ, ยูวเรย์กลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันรอบเตาผิงโดยทำท่าเหมือนกำลังหนาวอยู่
ก็อยากพูดว่า ที่หนาวเนี่ยมันเป็นเพราะใครกันล่ะ, แต่ดูเหมือนว่าพวกยูวเรย์ที่ตัวเย็นเฉียบเองก็ไม่ได้ชอบความหนาวไปเสียทุกตน

นั่นสินะ
มียูวเรย์ไม่น้อยเลยที่แต่เดิมเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
ความชอบกับนิสัยของยูวเรย์เหล่านั้นจึงไม่ต่างจากตอนที่ยังมีชีวิตมากนัก
พอลองสังเกตเหล่ายูวเรย์ดูดีๆ ก็พบว่ามีอยู่หลากหลายจำพวกเลยทีเดียว
พวกที่เคลื่อนที่ไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็นและร่าเริง, พวกที่อยู่รอบเตาผิงโดยไม่ขยับไปไหน, พวกที่(ดูเหมือนจะ)กำลังคุยกับยูวเรย์ด้วยกัน

หลักการคิดก็คงจะมีอยู่หลายแบบ
แต่ว่า, ยูวเรย์ที่มีความหลากหลายเหล่านี้, ทำไมถึงมารวมตัวกันที่นี่อย่างกะทันหันกันนะ
เฉพาะเรื่องนั้นที่คิดเหมือนกันได้งั้นเหรอ
ถ้าหาก, สามารถได้ยินเสียงของยูวเรย์ได้, จะสบายขนาดไหนกันนะ



พูดถึงการได้ยินเสียงของผู้ตาย, ก็ทำให้นึกถึงอาชีพที่เรียกว่า อิทาโกะ
ทว่า, มนุษย์ส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถของอิทาโกะ
ไม่ใช่ว่าอิทาโกะได้ยินเสียงของผู้ตาย
เมื่อมีมนุษย์มาขอให้เข้าทรง, อิทาโกะจะแปลงจิตใต้สำนึกที่เกิดจากมนุษย์คนนั้นให้กลายเป็นคำพูดแล้วถ่ายทอดออกมา
ดังนั้นจึงไม่อาจได้ยินเสียงของผู้ตายที่มีสายสัมพันธ์เจือจางต่อผู้มาขอร้อง
และถ้าผู้ขอร้องไม่อยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจทำการเข้าทรงได้

ถ้าหากเรียกผู้ตายที่ไม่ใช่ครอบครัว, สามีภรรยา หรือคนรักมา ก็แสดงว่าเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน
ในทางกลับกัน, ถ้าหากเป็นครอบครัว, สามีภรรยา หรือคนรักล่ะก็, ต่อให้ยังไม่ตายก็สามารถทำการเข้าทรงได้

เชื่อกันว่ามิโกะมีความสามารถเหมือนกับอิทาโกะ, แต่มีจุดที่ต่างกันนิดหน่อย
มิโกะคือผู้ที่ถ่ายทอดคำพูดของเทพเจ้า
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเทพสิงสถิตอยู่, จึงสามารถได้ยินเสียงของอุปกรณ์ต่างๆได้
ทว่า, เสียงเหล่านั้นโดยสารทางเดียวเท่านั้น
จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นการถ่ายทอดการพูดคนเดียวของเทพเจ้าออกมาเป็นคำพูด



ข้างนอกเงียบสงัด
หิมะคงจะกำลังตกอยู่
จริงๆแล้วอาจจะอยู่ในระหว่างการเดินทางอันยาวไกล, และแค่มาพักที่นี่ชั่วคราวเพราะข้างนอกมีหิมะตกก็เป็นได้

การที่เรย์มุแค่แปะยันต์เอาไว้และไม่กำราบอย่างจริงจัง, คงเพราะยูวเรย์ต่างจากโยวไคจริงๆ
เพราะเป็นแค่ยูวเรย์จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องทำการกำราบ
ต่างจากพวกโยวไค

ผมเปิดเตาผิงทิ้งไว้แล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น
ยูวเรย์เองก็คงรู้สึกหนาวเหมือนกันล่ะมั้ง
... ...ไม่สิ, คนที่หนาวคือผมต่างหาก



――ตึงตึงตึง !

ฟ้าสางแล้ว, พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นมาแท้ๆ, แต่มีคนกำลังทุบประตูอยู่

หิมะหยุดตกแล้ว, เกนโซวเคียวถูกห่อหุ้มไปด้วยสีขาวซึ่งเกิดจากอากาศที่ถูกแช่แข็งและแสงของหิมะ

――ตึงตึงตึง !

「ขอโทษค่า--- !
 มีเรื่องที่อยากตรวจสอบในร้านของคุณนิดหน่อยค่ะ--- !」

――ครึ่กครึ่กครึ่ก... ..ครืน

เฮ้อ---, ก็ดันทุบประตูจนร้านสั่นมากเกินไปนี่นะ... ...
เมื่อคืนหิมะตกหนักขนาดนั้น, แถมเปิดเตาผิงทิ้งไว้ทั้งคืน, หิมะบนหลังคาก็เลยไม่แข็งตัวเสียด้วยสิ

「ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาเปิดร้าน... ...มีธุระอะไรเหรอ ?」

แต่เปิดประตูออกไปก็ไม่เห็นว่ามีใคร

ไม่สิ, หน้าประตูมีภูเขาหิมะอยู่
และมีดาบสองเล่มกับขาหนึ่งข้างโผล่ออกมาจากภูเขาหิมะ

อย่างนี้ลูกค้าก็เข้ามาในร้านไม่ได้น่ะสิ
เดี๋ยวต้องกวาดหิมะสักหน่อยแล้ว... ..., เอ๊ะ ไม่ใช่สิ
ดูเหมือนว่าภูเขาหิมะที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็น 「ลูกค้า」

พลั่วสำหรับตักหิมะอยู่ที่ไหนกันน้า
ไม่สิ ข้างในเหมือนจะมีของที่บอบบางอยู่ ถ้าขุดลงไปโดยไม่ระวังก็อาจจะเป็นอันตรายได้

「อูย---... ...」

ได้ยินเสียงครวญจากภูเขาหิมะที่อยู่ตรงหน้า

「ออกมาเองได้รึเปล่า
 มีธุระอะไรเหรอ ?
 มันยังเช้าเกินไป ผมยังไม่เปิดร้านเลยนะ」

「ข.. ขยับไม่ได้
 ช่วยเอาหิมะออกไปสักหน่อยได้มั้ย ?」

「ถ้าได้ยินเสียงก็บอกธุระมาก่อนสิ
 เสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยช่วยก็ได้นี่นา ?」

「อูย---, อูย---」



ผมลองเอาหิมะตรงส่วนที่ใกล้กับจุดที่ได้ยินเสียงออก
ตรงนั้นเป็นจุดที่โดนหิมะบนหลังคาโจมตีสวนเข้าใส่อย่างรุนแรงที่สุดหากจะเข้ามาในร้าน
ณ ตรงนั้นผมเห็นศีรษะของสาวน้อยผู้ซุ่มซ่าม

「ฟู่, เย็น---, อ๊ะ, ขยับแขนขาไม่ได้เลยอ่า
 เอาหิมะออกให้หมดทีสิ---」



「ยิ่งขยับร่างกาย หิมะก็จะยิ่งกดทับและแข็งตัวไงล่ะ」

「ไงล่ะ, อะไรกันเล่า... ...」

「แล้ว, มีธุระอะไรเหรอ ?」

「ซิกซิก
 มีเรื่องที่อยากตรวจสอบในร้านของคุณน่ะ, เป็นเรื่องเร่งด่วนด้วย
 ก็เลยแค่แวะมาเยือนเท่านั้นเอง... ...」

「เรื่องที่อยากตรวจสอบ ? หรือว่าจะเป็นเรื่องของพวกยูวเรย์ ?」

「ใช่ค่ะ」

「ถ้างั้นก็คุยกันง่ายหน่อย
 จะเอาหิมะออกให้นะ」

「เอ๊ะ, ถ้าเป็นธุระอื่นก็จะปล่อยเอาไว้อย่างนี้เหรอ ?
 ให้---ตายสิ... ...」

「คราวหน้า, พยายามมาเยือนร้านแบบมีมารยาทด้วยล่ะ」



พอเอาหิมะออกได้สักพัก, สาวน้อยเริ่มขยับตัวได้ ก็เลยออกมาจากภูเขาหิมะ
เมื่อเปิดประตูร้าน, คงเพราะอาการไม่ดี, เธอจึงเดินตามหลังผมมาด้วยท่าทีเขินอาย

สาวน้อยคนนี้มีนามแปลกๆว่า คอนปาคุ โยวมุ
เธอตัวสั่นด้วยความหนาวทันทีที่เข้ามาในร้าน
แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียวทั้งบนล่าง, กระโปรงบานและสั้นแบบนั้นมันก็น่าจะหนาวอยู่หรอก
ทรงผมคัปปะ(บ๊อบ)ทำให้ดูเยาว์วัยเกินความจำเป็น, แต่ถ้าดูจากวิธีการปรากฏตัวก็คงจะเด็กจริงๆนั่นล่ะ
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เหนืออื่นใดก็คือ, ดาบยาวที่ยาวประมาณความสูงของตัวเธอซึ่งสะพายไว้ที่หลัง กับดาบสั้นที่เอว
มาที่ร้านโดยพกของวุ่นวายแบบนั้นมาด้วยเนี่ย, จะว่ายังไงดีล่ะ... ...
ต่อให้คิดว่าจะมาปล้นก็ไม่แปลก
ขนาดตัวร้านยังปฏิเสธเธอเลย
ด้วยการทำหิมะตกใส่

「ถ้าหนาวล่ะก็, ไปใช้เตาผิงนั่นสิ
 น่าจะกำลังอุ่นสุดๆเพราะเปิดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานน่ะนะ」

「อ๊ะ, ขอบพระคุณมากค่ะ
 จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ」

พอเข้ามาในร้าน, ก็มีมารยาทขึ้นมาทันทีเลยแฮะ... ...
ปกติแล้วเธอเป็นเด็ก 「แบบนี้」 รึเปล่านะ

「อาจจะร้อนเกินไปก็ได้, ระวังโดนลวกด้วยล่ะ... ...」

ลองมองไปทางเตาผิงก็เห็นสาวน้อยกำลังแสดงสีหน้าผ่อนคลาย
ทำตัวไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลย
ท่าทางจะเป็นคนจำพวกเดียวกับเรย์มุสินะ ?

น้ำร้อนในกาน้ำบนเตาผิงเริ่มเดือดจนชักไม่เข้าท่า, ก็เลยไปเอาหิมะกับแท่งน้ำแข็งจากข้างนอกมา

「น่าจะพอไหวแล้วล่ะมั้ง ?
 ก่อนอื่น, มีธุระอะไร ?
 เธอบอกแค่ว่ามาตรวจสอบเรื่องของยูวเรย์พวกนี้เท่านั้นเอง」

「นั่นสินะคะ
 ทราบมั้ยคะว่าทำไมยูวเรย์ถึงมารวมตัวกันที่นี่ ?」

「ถ้ารู้ก็จะทำเรื่องที่น่าสนุกกว่านี้」

「แสดงว่าคุณไม่ได้จงใจรวบรวมมาเพื่อทำอะไรบางอย่างสินะคะ」

รวบรวมแล้วจะเอาไปทำอะไรดีนะ
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน, มีอยู่เรื่องหนึ่งที่รู้สึกสนใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ยูวเรย์ที่มีขนาดใหญ่อย่างโดดเด่นเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้, และกำลังประดิษฐานอยู่ที่เตาผิงราวกับจะยึดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

「ก่อนที่พวกยูวเรย์จะมารวมตัวกัน, ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้างเลยเหรอคะ ?」

「ก่อนที่จะตอบเรื่องนั้น, เธอเป็นใครกันแน่ ?
 จะมากำราบยูวเรย์ด้วยดาบนั่นงั้นเหรอ ?
 หรือว่า, แค่อยากรู้อยากเห็นงั้นเหรอ... ...」

「อ่า, ฉันบอกช้าไปสินะคะ
 ฉันพอจะรู้สาเหตุที่ยูวเรย์เหล่านี้มารวมตัวกันค่ะ
 เห็นอย่างนี้แต่ฉันเองก็เป็นยูวเรย์นะคะ
 ถึงจะแค่ครึ่งเดียวก็เถอะค่ะ... ...」



อะไรกัน, ไม่ใช่มนุษย์เหรอเนี่ย
ถ้างั้นก็คงจะขอให้ช่วยกำราบไม่ได้ทั้งโยวไคและยูวเรย์เลยสินะ, เอ๊ะ ยูวเรย์ ?

「ยูวเรย์งั้นเหรอ ? ยูวเรย์มีร่างจริงแบบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ ?
 จะว่าเป็นโบวเรย์ก็ไม่ใช่เสียด้วยสิ」
(ยูวเรย์(ผี)ไม่มีรูปร่าง ส่วนโบวเรย์(วิญญาณ)มีรูปร่างเป็นมนุษย์ รายละเอียดของความต่างอ่านได้ในสารานุกรม)

「อ๋อ, แน่อยู่แล้วล่ะค่ะ, ตัวฉันที่อยู่ 『ตรงนี้』 เป็นร่างครึ่งมนุษย์
 ส่วนร่างครึ่งยูวเรย์ของฉันอยู่ 『ตรงนั้น』 ค่ะ」

สาวน้อยชี้ไปทางยูวเรย์ขนาดใหญ่ที่กำลังยึดเตาผิงอยู่

เป็นเหมือนพวกหมอผีงั้นเหรอ
ถ้างั้นก็คงจะคุ้นเคยกับพวกยูวเรย์สินะ
เกนโซวเคียวนี่ก็มีอาชีพแปลกๆอยู่เหมือนกันแฮะ

「เพราะฉะนั้น, ฉันจะถามอีกครั้งนะคะ... ...
 ช่วงนี้มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นรึเปล่าคะ ?
 ยกตัวอย่างเช่น เก็บอะไรบางอย่างมาได้... ...」

「พวกยูวเรย์มารวมตัวกันอย่างกะทันหันในวันนั้นเลยล่ะ」

ผู้รู้สึกว่าสามารถรู้จุดประสงค์ของสาวน้อยคนนี้ได้, จากวิธีการถามของเธอ

「ไม่สิ, เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ」

「เธอบอกว่ารู้อะไรบางอย่างสินะ
 แต่กลับพยายามถามหาสาเหตุจากผม
 พูดอีกอย่างก็คือ, มันเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถบอกออกมาตรงๆได้สินะ ?」

「อุ
 มะ.. ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ」

「ถ้างั้นก็น่าจะบอกได้นี่นาว่ารู้อะไรบ้าง」

「นะ.. นั่นสินะคะ
 ... ...งั้นขอถามตรงๆเลยนะคะ, คุณเก็บ 『ตะเกียงวิญญาณมนุษย์』 มาใช่มั้ยคะ ?」



ตะเกียงวิญญาณมนุษย์ ? เคยเก็บของแบบนั้นมาด้วยเหรอ ?
ของที่เก็บได้มีอยู่มากมายเต็มไปหมด, เพราะงั้นเลยไม่จำพวกของที่น่าเบื่อ

「ถ้ามีตะเกียงวิญญาณมนุษย์นั่นแล้วจะเป็นยังไงเหรอ ?」

「ตะเกียงวิญญาณมนุษย์เป็นของที่ใช้นำทางยูวเรย์จำนวนนับไม่ถ้วน, เป็นอุปกรณ์ที่แต่เดิมมีอยู่เฉพาะในโลกวิญญาณค่ะ
 ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหน ต่อให้มีสิ่งกีดขวางยังไง ยูวเรย์ก็สามารถมองเห็นแสงจากอุปกรณ์นั่นได้
 ดังนั้นจึงมารวมตัวกันค่ะ」

「อ้อ--- งั้นเหรอ
 ตะเกียงวิญญาณมนุษย์ งั้นเหรอ... ...」

จะว่าไปแล้ว, รู้สึกว่าช่วงก่อนเข้าฤดูหนาวจะเคยเก็บของพรรค์นั้นมาจากเนินไร้ญาติแฮะ (นัยถึงเหตุการณ์ในตอนที่ 10)
เอาไปวางไว้ตรงไหนกันนะ ?

「มันอยู่ที่นี่สินะคะ !?」

ไม่รู้ทำไมสาวน้อยจึงทำท่าดีใจ

「อืม, รู้สึกเหมือนจะเคยเก็บได้น่ะ
 ค่อนข้างนานแล้วล่ะ... .., แต่จำไม่ได้ว่าเคยจุดมันแฮะ
 รอเดี๋ยวนะ」

「ดีจังเลย」

ผมเจอของที่น่าจะใช่, ในกองภูเขาสินค้าจำพวกตะเกียงที่เก็บได้เมื่อปีที่แล้ว
เป็นโคมกระดาษขนาดราวฝ่ามือ, และกำลังติดไฟอยู่โดยไม่ทราบสาเหตุ

「เจ้านี่สินะ ? ตะเกียงวิญญาณมนุษย์」

ผมมีความสามารถในการรู้ชื่อและประโยชน์ของอุปกรณ์

「นั่นแหละค่ะ
 นั่นแหละค่ะ
 ดีจังเลยค่ะ---」

「ดูเหมือนไฟจะติดขึ้นมาเองแฮะ... ..., แสงที่เย็นเฉียบนี่, แสงจากวิญญาณมนุษย์งั้นเหรอ ?」

「อู
 เรื่องนั้นกรุณาอย่าใส่ใจเลยค่ะ
 แล้วก็, ตะเกียงวิญญาณมนุษย์นั่น, ถ้าเก็บเอาไว้ พวกยูวเรย์ก็จะมารวมตัวกันนะคะ」

อย่างนี้นี่เอง, สรุปแล้วมันเป็นอย่างนี้เองหรอกเหรอ

「ในที่สุดผมก็เข้าใจเหตุผลที่เธอมาร้านนี้
 ถึงผมจะบอกเธอว่ามียูวเรย์เยอะ, แต่ไม่ได้บอกว่ากำลังเดือดร้อนนะ
 เธอทำตะเกียงวิญญาณมนุษย์นี่หายโดยบังเอิญสินะ ? เพราะเธอเป็นหมอผี ก็เลยลำบากถ้าไม่มีเจ้านี่ล่ะสิ」

「อุ
 ไม่ใช่หมอผีนะคะ---」

「จริงๆแล้วอยากได้ตะเกียงวิญญาณมนุษย์นี่สินะ
 ถ้าไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงก็ไม่ยกให้น้า」

「อู--- ซิกซิก」

ในที่สุด, สาวน้อยก็เริ่มเล่าเหตุผลที่เธอมาที่นี่



ดูเหมือนว่าสาวน้อยจะทำงานในเรือนหลังใหญ่ในโลกวิญญาณ
ตะเกียงวิญญาณมนุษย์เป็นอุปกรณ์อันแสนสำคัญที่คุณหนูของเรือนนั้นฝากเอาไว้
แต่, เผลอทำตกเอาไว้ที่จุดหมายปลายทาง
ผมรู้สึกว่า ก็สมกับเป็นสาวน้อยคนนี้ดี

พอรู้สึกตัวว่าทำหายไป, ก็นึกไม่ออกแล้วว่าไปทำตกไว้ที่ไหนตอนไหน, จะไปปรึกษาคุณหนูก็ไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
พอว่างจากการทำงานก็จะออกมาตามหา, แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า และค่อยๆลืมเรื่องนั้นไปทีละน้อย
ก็สมกับเป็นสาวน้อยคนนี้, รึเปล่า ?

「สุดท้ายท่านยูยูโกะก็รู้เรื่อง... ...เลยโดนโกรธอย่างแรงค่ะ」

「มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละนะ」

เหตุผลที่โกรธคือ ทำของหาย หรือว่าโกรธที่ไม่บอกว่าทำของหายกันแน่, ตัวเธอจะเข้าใจเรื่องนี้รึเปล่านะ

「ท่านยูยูโกะบอกว่า, ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถจุดตะเกียงวิญญาณมนุษย์ขึ้นมาได้, จงไปหาตามแหล่งที่มียูวเรย์รวมตัวกัน」

ถ้าหากไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จุดติดได้, แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่าอยู่ที่ไหน
ไม่น่าจะทำได้แค่ 「จุดไฟ」 หรอก
คงตั้งใจจะให้สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าผมนี้ออกมาตามหาล่ะสิ
แสดงว่ากำลังโกรธที่ไม่ยอมบอกว่าทำหายนั่นเอง



กล่าวคือ, เป็นเพราะผมเก็บอุปกรณ์ชิ้นนี้มา, จึงถูกยูวเรย์ห้อมล้อมจนหนาวยะเยือก, และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนเธอนั่นเอง

「เธอน่ะ, หาของเจอแล้วกำลังทำหน้าเหมือนโล่งใจ... ...
 แต่ตะเกียงวิญญาณมนุษย์อันนี้เป็น 『สินค้า』 ของร้านผมแล้วนะ
 แน่นอนว่าไม่ยกให้ฟรีๆหรอก
 ยังไม่เปิดร้านก็จริง, แต่จะขายให้เป็นกรณีพิเศษก็ได้」

「เอ๋ ? อะไรกัน ! เอาคืนมาเถอะค่ะ... ...」

「โอ๊ะ, พอมองตะเกียงวิญญาณมนุษย์อันนี้ดูดีๆ มันก็มีราคาน่าดู
 มันเป็นของจากโลกวิญญาณ, แสดงว่าหายากน่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ ? ราคาก็เลยต้องสมน้ำสมเนื้อหน่อย」

「ซิกซิก... ...」



――กริ๊งกริ๊ง

「โย่ ! เมื่อวานหิมะตกหนักสุดยอดเลยว่ะ」

มาริสะผู้ขี้หนาวเข้ามาในร้านทันทีที่เปิดประตู

「มาริสะเองเหรอ
 เปิดประตูเสียงดังมันอันตรายนะ
 เดี๋ยวหิมะบนหลังคาก็ตกลงมาหรอก」

「อ้าว ? แต่บนหลังคาไม่มีหิมะเลยนี่หว่า
 จะว่าไปก็แปลกดีแฮะ」

「ตรงไหนเหรอ ?」

「ตรงที่โควรินกวาดหิมะลงมาไง
 ปกติจะไม่ทำงานใช้แรงแบบนั้นไม่ใช่เหรอ」

เมื่อเช้า, ตั้งแต่สาวน้อยมาที่ร้านก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว
หากหิมะตกลงมา, ก็มีเวลามากพอที่จะกองถมกันอีกครั้ง
หากพูดในทางกลับกัน, ถ้าจะทำการกวาดหิมะ ก็คงกินพื้นที่กว้างน่าดูเลย

「อ้อ, มีมนุษย์ที่ใจดีอยู่น่ะ
 ช่วยจัดการให้หมดเลย, ทั้งหิมะบนหลังคาและหิมะที่อยู่รอบร้าน」



「หืม---... ...อ้าว ? โยวมุนี่นา, แปลกนะที่มาที่นี่
 ไม่ต้องเข้าใกล้เตาผิงขนาดนั้นก็ได้ ในร้านก็อุ่นดีแล้วนี่นา ?」

สาวน้อยถูกผมใช้ให้กวาดหิมะบนหลังคาตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเปิดร้าน, จึงเหน็บหนาวอย่างช่วยไม่ได้

「ให้ตายสิ, ตัวแข็งไปหมดแล้ว... ...
 มาริสะต้องรับมือกับเจ้าของร้านใจร้ายแบบนี้เป็นประจำเลยเหรอ ?」

「เออ, ประจำเลยแหละ
 โหดใช่มั้ยล่ะ ?」

「ทำหูทวนลมไม่ได้แล้ว
 โหดร้ายตรงไหนกันน่ะ ?
 เธอมาที่ร้านเพื่อซื้อของ, แต่ว่า, ดันมามือเปล่าไม่ใช่เหรอ
 แบบนั้นเอาชีวิตรอดในเกนโซวเคียวไม่ได้หรอกนะ」

「เทียบกับโลกวิญญาณแล้ว, เกนโซวเคียวนี่เข้มงวดจังเลยนะคะ... ...」

「อะฮะฮะ---, ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกโว้ย
 ไม่มีที่ไหนที่สบายใจได้มากขนาดนี้แล้วล่ะ
 เธอน่ะ, โดนโควรินหลอกให้กวาดหิมะเต็มเปาเลยล่ะ」

รู้สึกเหมือนสาวน้อยคนนี้จะถูกเรย์มุและมาริสะแหย่เล่นเป็นประจำ
นั่นก็คงเป็นเพราะความจริงจังและความด้อยประสบการณ์ของสาวน้อยคนนี้
แค่กวาดหิมะน่ะ, ในฐานะค่าเรียนรู้ชีวิตนั้นจัดว่าถูกมากเลยนะ





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- ชื่อตอนล้อเนื้อเพลงท่อนแรกของเพลง แสงหิ่งห้อย ที่ร้องว่า แสงหิ่งห้อย, หิมะริมหน้าต่าง ซึ่งนัยถึงความวิริยะอุตสาหะ
   กล่าวคือ ใช้แสงหิ่งห้อยหรือแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะริมหน้าต่างในการอ่านหนังสือตอนกลางคืน
- อิทาโกะ เป็นร่างทรงชนิดหนึ่ง สามารถเรียกวิญญาณเทพหรือวิญญาณคนตายมาเข้าสิงตน แล้วถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดได้
   โดยพื้นฐานแล้วจะคล้ายกับพวก Shaman พบมากที่ภาคเหนือของประเทศญี่ปุ่น เชื่อกันว่ายิ่งมีอายุมากก็ยิ่งเก่งกล้า



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้