BAiJR - Keine


東方文花帖 ~ Bohemian Archive in Japanese Red.
โทวโฮวบุนคะโฉว (บันทึกอักขระบุปผาแห่งตะวันออก) ~ บทความแหกกฎในสมุดญี่ปุ่นปกแดง


.........................................................................................................................................................................................

ฤดูกาลที่ 117 เดือนจันทรคติที่ 9 วันที่ 2

สภาพที่แท้จริงขององค์กรประวัติศาสตร์ลับที่มากด้วยปริศนา
มนุษย์ผู้ตามหาต้นกำเนิดของเกนโซวเคียว

องค์กรลับซึ่งร่ำลือกันว่ามีตัวตนอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์
องค์กรนี้คือกลุ่มคนที่พยายามตรวจสอบความเป็นมาของโยวไคและมนุษย์ที่อาศัยในเกนโซวเคียว เพื่อไขความลับของเกนโซวเคียวให้กระจ่าง
ว่ากันว่าพวกเขาตรวจสอบกระทั่งขอบเขตการดำรงชีพของโยวไค แล้วถูกการดำรงชีพนั้นนำพาไปสู่ความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตด้วย

ในครั้งนี้ฉันสามารถติดต่อกับผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้นำขององค์กรลับดังกล่าวได้ในที่สุด
คุณคาบุโตะ (นามแฝง) ผู้นำองค์กรลับได้กล่าวถึงเหตุผลในการก่อตั้งองค์กรดังนี้
เหล่ามนุษย์ในปัจจุบันแทบไม่รู้เลยว่า
เหตุใดจึงใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นอาศัยของโยวไค, แต่เดิมเกนโซวเคียวคืออะไร และพวกบรรพบุรุษเขาเป็นมนุษย์แบบไหนกันแน่
น่ากลัวว่าการขับไล่พวกโยวไคที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากเกนโซวเคียวเพื่อทำให้เกนโซวเคียวตกเป็นของพวกเราเหล่ามนุษย์นั้น
จำเป็นที่จะต้องรู้ความจริงของเกนโซวเคียวให้ได้เสียก่อนกระมัง

เป็นทัศนคติที่เห็นแก่ตัวอย่างแรงสมกับที่เป็นมนุษย์
เหล่าโยวไคส่วนมากรวมถึงตัวฉันจึงคอยสังเกตการณ์เรื่องนี้โดยไม่ยึดถือพวกเขาเป็นศัตรู
แต่ก็มีโยวไคที่ให้คำแนะนำแก่พวกเขาอยู่เหมือนกัน
ตัวฉันเองก็ได้ฟังทัศนคติของโยวไคตนหนึ่งจากในกลุ่มนั้น, คุณคามิชิราซาวะ เคย์เนะ (แวร์ฮาคุตาคุ)

「การที่มีมนุษย์หลงลืมความน่าสะพรึงกลัวของโยวไค จนถึงกับคิดขับไล่โยวไคออกไปจากเกนโซวเคียวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก
 เกนโซวเคียวในปัจจุบันนี้คงอยู่ได้ด้วยความสมดุลระหว่างมนุษย์กับโยวไค
 อย่างตัวฉัน (ซึ่งเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์) ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
 เกนโซวเคียวจะล่มสลายในชั่วพริบตาที่สมดุลแห่งการรับและการให้นี้พังทลายลง
 ทว่า, หากเทียบกับเหล่าโยวไคซึ่งส่วนมากมองว่าอดีตและปัจจุบันเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว
 มนุษย์กลับใช้เวลาเพียง 20 ปีก็เปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่ได้ และความทรงจำก็ค่อยๆลบเลือนหายไป
 ในแง่นี้ แม้แต่โยวไคก็ไม่สามารถต่อกรกับมนุษย์ได้
 เพราะมีแต่ฝ่ายมนุษย์ที่ทิ้งห่างโยวไคไปนั่นเอง
 สิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์น่ะ ไม่ใช่การแสวงหาประวัติศาสตร์จากปัจจุบัน
 แต่เป็นการเล่าขานเรื่องราวในปัจจุบันให้กลายเป็นประวัติศาสตร์สืบไปต่างหาก」

แม้เป็นครึ่งโยวไค คุณเคย์เนะก็ยังเป็นที่รักใคร่ของเหล่ามนุษย์ บางครั้งเธอก็ให้ความช่วยเหลือในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ด้วย
เธอกล่าวว่า หากองค์กรที่มีแนวคิดอันตรายแบบนี้ถือกำเนิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่พยายามถ่ายทอดประวัติศาสตร์ให้แก่ลูกหลานล่ะก็
เธอจะพิจารณาเรื่องการเปิดโรงเรียนสอนประวัติศาสตร์ดู
(ชาเมย์มารุ อายะ)

※คำถามเกี่ยวกับโรงเรียนดังกล่าวมีอยู่ในบทความถัดไป

Tips :
- คำว่า องค์กรลับ (秘密結社) ที่ถูกนำมาใช้ในบทความนี้ เป็นคำเดียวกับพวกองค์กรลับ(ของฝ่ายผู้ร้าย)ในการ์ตูนฮีโร่-เซนไทต่างๆ
- อักษร 甲 นั้นสามารถอ่านเป็นชื่อคน(นาโนริ)ได้ 2-3 แบบคือ คาบุโตะ, มาสะ, มาซารุ ในที่นี้จึงขอแปลเป็นชื่อที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด คือ คาบุโตะ


.........................................................................................................................................................................................

สวรผัสสะมายา

魔術師メリー
มาจุทสึชิ เมรี่ (จอมเวท เมอรี่)
(เพลงจาก 『蓮台野夜行 ~ Ghostly Field Club』)

เพลงที่แต่งขึ้นโดยตั้งใจว่าจะเตรียมไว้เป็นเพลงประจำตัวของเมอรี่, หนึ่งในสมาชิกของชมรมผนึกลับ
อันที่จริงเมอรี่ก็ไม่ใช่จอมเวทหรอก แต่ก็รู้ตัวดีว่าได้ตัดสินใจเตรียมเพลงนี้ให้เป็นแบบนั้นไปแล้ว

เมื่อฟังเพลงนี้ก็จะเห็นภาพมายาของชมรมเรื่องลี้ลับในโรงเรียนของคนหนุ่มสาวได้
ความรู้สึกเหมือนกับได้เล่นมามาโกโตะอยู่ ณ ที่ไหนสักแห่งนั้นมันยอดเยี่ยมจนทนไม่ได้เลย
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเพลงนี้ก็น่าจะเอาไปใช้ในเกมได้, และภายใน CD แผ่นนี้ก็มีเพลงสมกับที่เป็นโทโฮอยู่เหมือนกัน

เสียงประหลาดแว่วมาจากข้างหลัง
ในใจข้าพเจ้านั้นคิดว่า หากพูดถึงเรื่องลี้ลับในโรงเรียนก็ต้องห้องคหกรรม งั้นก็น่าจะใส่เสียงแบบห้องคหกรรมลงไปด้วยสินะ
เอ๊ะ เสียงแบบห้องคหกรรมงั้นเหรอ ?


Tips :
- ชมรมผนึกลับ (秘封倶楽部) เขียนต่างจาก ชมรมเรื่องลี้ลับ (オカルト倶楽部) ทีมักพบทั่วไปในเรื่องอื่นๆ
- มามาโกโตะ เป็นการละเล่นของเด็กๆที่เลียนแบบการทำอาหารและรับประทานกันในครอบครัว ในไทยมีชื่อเรียกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น พ่อแม่ลูก
- จากที่กล่าวมา อาจตีความได้ว่า ท่าน ZUN แต่งเพลงกลุ่มนี้โดยตั้งใจให้เป็นคนละแนวกับ โทโฮ(เกม) โดยเน้นไปที่ความลึกลับน่ากลัวแทน


.........................................................................................................................................................................................


อายะ 「เปิดโรงเรียนสอนประวัติศาสตร์ในหมู่บ้านแล้วสินะคะ ?」
เคย์เนะ 「เปิดแล้วค่ะ
    แต่รวบรวมมนุษย์ไม่ค่อยได้เลย
    ดูเหมือนทุกคนจะเกลียดของอย่างโรงเรียนน่ะค่ะ」
อายะ 「ผิดคาดเลยนะคะ
    ถ้าเป็นพวกฉันล่ะก็ หากมีเรื่องน่าสนุกแบบนั้นเริ่มต้นขึ้นก็จะแย่งกันไปดูเลย」
เคย์เนะ 「มนุษย์น่ะเพียงแค่ใช้ชีวิตในแต่ละวันก็เต็มที่แล้วล่ะนะ
    พวกเขาจึงไม่คิดเหมือนโยวไคที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลแบบพวกเธอ
    นั่นเพราะพวกเขาต้องทำงานหนักเท่าที่จะทำได้เพื่อหาข้าวกิน ไม่งั้นก็จะตายเอา」
อายะ 「งั้นคราวนี้ลองไม่จำกัดแต่มนุษย์ แล้วเปิดโรงเรียนสำหรับโยวไคผสมเข้าไปด้วยดีมั้ยคะ ? ทุกคนต้องมารวมตัวกันแน่ๆเลยค่ะ」
เคย์เนะ 「มารวมตัวกันสิน้า
    คิดว่ามันคงจะเป็นแค่การมารวมตัวกัน แล้วพอเอาเข้าจริงก็คงไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้เลยล่ะค่ะ... ...
    และตัวฉันไม่ได้อยากให้มารวมตัวกัน แต่อยากสอนมนุษย์เสียมากกว่าค่ะ
    แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่สนใจที่จะรวบรวมโยวไคมาสอนหนังสือนะคะ」
อายะ 「นั่นก็จริงน่ะนะคะ
    งั้นลองแผนอื่นดูอย่างเช่น เอาเหล้าเข้าล่อดีมั้ยคะ
    มนุษย์ก็น่าจะชอบดื่มเหล้าเหมือนกัน」
เคย์เนะ 「แบบนั้นก็ไม่ได้เรียนหนังสือกันพอดีสิคะ
    ที่สุดแล้ว ในหมู่มนุษย์นั้นคงมีแต่มนุษย์ที่ปรารถนาจะสร้างโลกมนุษย์เท่านั้นที่อยากรู้ประวัติศาสตร์,
    มนุษย์ธรรมดาย่อมไม่สนใจในประวัติศาสตร์
    ช่างน่าเสียดายจริงๆ」
อายะ 「สำหรับฉันคงประมาณว่า พอมนุษย์กลุ่มเล็กๆที่อยู่ใกล้ศาลเจ้าเริ่มทำอะไรแปลกๆ ก็จะรีบรุดไปทันที น่ะค่ะ」
เคย์เนะ 「ไปยุ่งกับมนุษย์แถวๆนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ
    พวกนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากโยวไคเลยเสียด้วยสิ」
อายะ 「ถ้าแค่ความสามารถล่ะก็ โยวไคทั่วๆไปไม่สามารถต่อกรได้เลยล่ะค่ะ」
เคย์เนะ 「จะว่าไปแล้ว ระยะนี้มีมนุษย์ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งเรื่องศาลเจ้าด้วยนะ
    รอบๆศาลเจ้าก็มีโยวไคเต็มไปหมด จะเข้าไปใกล้มากก็ไม่ได้ แถมระยะทางจากหมู่บ้านก็ค่อนข้างไกล
    ความจำเป็นที่เหล่ามนุษย์จะต้องเดินทางไปหาก็ไม่มีเลยเสียด้วย... ...」
อายะ 「มีอย่างนั้นด้วยเหรอคะเนี่ย... ...
    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าแทบไม่มีมนุษย์อยู่ที่ศาลเจ้าเลยสินะคะ」
เคย์เนะ 「เงินบริจาคก็ไม่มีเลยสักนิด ถ้ามิโกะจะร้องไห้คร่ำครวญก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้น่ะนะ
    แต่นั่นก็เป็นเพราะมิโกะเขาบีบคอตัวเองด้วยตนเอง
    ถ้าว่ากันตามจริงแล้วล่ะก็
    ฝ่ายมิโกะจะออกมาเรียกร้องขอเงินบริจาคโดยหยิบยกผลงานที่ผ่านมาของตัวเองมาเล่าให้ชาวบ้านฟังก็ทำได้แท้ๆ
    แต่มิโกะคนนั้นทำงานอะไรไปก็แทบจะไม่พยายามบอกเล่าให้เหล่ามนุษย์รู้เลย
    ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตัวมิโกะเองก็สนิทกับพวกโยวไคด้วย
    ในหมู่มนุษย์น่ะ มีกระทั่งคนที่เชื่อว่า ศาลเจ้าถูกโยวไคยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยซ้ำ」
อายะ 「ท่าทางในปัจจุบันของมิโกะทำให้เหล่ามนุษย์เข้าใจผิดสินะคะ
    ว่าไปแล้วก็ไม่เห็นว่ามิโกะคนนั้นจะให้ความร่วมมือกับมนุษย์เลยนะคะ
    ตัวคุณดูจะใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่าเสียอีก」
เคย์เนะ 「เกนโซวเคียวในปัจจุบันยังคงความสมดุลเอาไว้ได้เพราะฉันมาอยู่แทนมิโกะน่ะนะ
    เธอเองก็มาเขียนบทความเกี่ยวกับมนุษย์ ทั้งๆที่เป็นโยวไคนี่นะ」
อายะ 「หนังสือพิมพ์ของฉันน่ะ ไม่ว่าจะเนื้อหาหรือผู้อ่านก็ล้วนมีแต่เหล่าโยวไคในเกนโซวเคียวค่ะ
    แต่ก็นะ, ไม่ได้หมายความว่าไม่มีมนุษย์ที่คล้ายกับสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าโยวไคอยู่,
    และครั้งนี้ก็แค่ทำบทความเกี่ยวกับคุณไปตามปกติเท่านั้นเอง
    ถ้าไม่มีคุณอยู่ก็ไม่ทำบทความเรื่องนี้หรอกค่ะ (หมายถึง เรื่องโรงเรียน)
    เพราะว่าสำหรับพวกฉันแล้ว ไม่มีหัวข้ออื่นใดนอกเสียจากเรื่องที่มนุษย์จะทำร้ายโยวไคน่ะนะคะ」

Tips :
- เคย์เนะกล่าวถึง "ลำดับความสำคัญ" ในการสอนหนังสือ โดยยกมนุษย์มาไว้เป็นอันดับแรก ส่วนโยวไคก็รองลงมา
ส่วนอายะก็ยกมนุษย์ที่ศาลเจ้ามาเป็นอันดับแรก ถ้ามนุษย์ที่หมู่บ้านกับมนุษย์ที่ศาลเจ้าทำอะไรแปลกๆพร้อมกัน ก็จะไปที่ศาลเจ้าก่อน
- อาจสรุปได้ว่า ถ้าวัดกันที่ฝีมือ ไม่ใช่ที่พลัง ก็ถือว่ามนุษย์ที่ศาลเจ้านั้นแข็งแกร่งเอาการ
- บีบคอตัวเองด้วยตนเอง เป็นสำนวนหมายถึง ทำตัวเองให้เป็นอย่างนั้นทั้งๆที่ไม่มีใครไปทำอะไรให้


คามิชิราซาวะ เคย์เนะ

「แวร์ฮาคุตาคุ」ผู้เปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นฮาคุตาคุในคืนวันเพ็ญ
มีความสามารถในการสร้างสรรค์ประวัติศาสตร์
ยามเป็นมนุษย์มีความสามารถในการกลืนกินประวัติศาสตร์
ยามเป็นฮาคุตาคุมีความสามารถในการได้รับความรู้ทั้งหลายทั้งมวลในเกนโซวเคียวมาครอบครอง

ผลงานการแสดง :
『東方永夜抄』



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้