CoLA - 015


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 15
「หินไร้นาม」

 

แต่เดิม สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ล้วนไม่มีชื่อ
โลกนี้เคยเป็นโลกที่สับสนอลหม่านเพราะสรรพสิ่งล้วนปนเปกันไปหมด
ทว่า, เหล่าเทพในยุคโบราณได้ทยอยตั้งชื่อให้แก่วัตถุในโลกนี้แต่ละชิ้น, จนก่อให้เกิดโลกที่เป็นระเบียบดังเช่นปัจจุบันนี้ขึ้นมา
เมื่อวัตถุได้รับชื่อ ก็จะเกิดอาณาเขตขึ้น ณ จุดนั้่น และวัตถุจะถูกยอมรับว่าเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นครั้งแรก
อาจกล่าวได้ว่า พลังในการตั้งชื่อก็คือพลังแห่งการสร้างสรรค์ซึ่งก่อให้เกิดสสารขึ้นจากความไม่มี, ราวกับพลังของพระเจ้าก็มิปาน
และด้วยพลังอันแข็งแกร่งนั่น, วัตถุจึงจดจำได้ว่าตนเองถูกตั้งชื่อไว้ว่าอะไร
เพราะเหตุนั้นเอง ผมจึงสามารถมองเห็นชื่อเหล่านั้นได้



ผมเปิดหน้าต่างเพื่อให้สายลมแห่งฤดูร้อนพัดเข้าสู่ภายในร้าน
ภายนอกอุดมไปด้วยแสงแดดแห่งฤดูร้อนที่ยากต่อการออกไปเดินเล่น
แต่ภายในร้านไม่ได้ร้อนถึงขั้นนั้น, ถ้าอย่างนั้นก็ขอสนุกกับสายลมสักหน่อย, ผมจึงแขวนกระดิ่งลมเอาไว้ที่หน้าต่าง



―――กริ๊งกริ๊ง

「อยู่สินะ」

「ก็อยู่น่ะสิ... ...ท่าทางเหมือนกำลังดีใจอยู่เลยนะ
 ถึงจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับมาริสะก็เถอะ」

「ฉันไม่รู้หรอกว่าแปลกรึเปล่า」 มาริสะพูดพลางถอดหมวกออก, แล้ววางไว้บนไหที่เป็นของขาย
สำหรับการมาเที่ยวเล่นโดยไม่ซื้ออะไรนั้นคงต้องถือว่าร้อนเอาการ

ข้างนอกเป็นฤดูร้อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
กระโปรงขนาดใหญ่กับเสื้อผ้าที่นุ่มฟู
ชุดเต็มรูปแบบของมาริสะกับหมวกสีดำขนาดใหญ่นั่นทำให้ผมเป็นห่วงว่าเธอจะร้อนรึเปล่า
แต่หมวกใบใหญ่นั่นอาจจะช่วยให้เธอหลบแดดได้ดีจนสบายเกินคาดเลยก็เป็นได้

「อ๊า--- ร้อนจนหัวจะไหม้อยู่แล้วโว้ย
 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก็บของพรรค์นี้มาได้ล่ะ, ไอ้นี่เป็นหินของโลกภายนอกใช่มะ ?」

「อ๋า--- ?」

มาริสะหยิบหินสี่เหลี่ยมขนาดเล็กออกมา
เป็นหินประหลาดที่มีขาเหล็กงอกออกมาหลายขาจนน่าตกใจ

「เจ้านี่... ...เป็นหินจากโลกภายนอกไม่ผิดแน่」

「ใช่มั้ยล่า ใช่มั้ยล่า
 หินพิลึกแบบนี้ไม่น่าจะมีอยู่ในเกนโซวเคียวได้หรอก
 แล้วมันเป็นของที่มีอะไรน่าสนใจรึเปล่าล่ะ ?」 มาริสะท่าทางดีใจไม่น้อย

「เจ้านี่เรียกว่า สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) เป็นหินประดิษฐ์ที่โลกภายนอกนำมาใช้อยู่บ่อยครั้ง
 โดยทั่วไปมันเป็นของที่ต้องใช้ในการใช้งานภูตรับใช้น่ะ... ...น่าเสียดายนะ แต่เจ้านี่แค่ตัวเดียวมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย」

「อ๋า--- งั้นหรอกเหรอ ? แล้วมันขาดอะไรไปล่ะ ?」

「ผมไม่รู้ถึงขั้นนั้นหรอกนะ, แต่เจ้านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่กว่านี้น่ะ
 ดูเหมือนว่าปกติแล้วของพวกนี้ต้องใช้หลายอันมาประกอบกัน
 จึงจะสามารถสั่งงานภูตรับใช้ให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้น่ะ」

「งั้นเหรอ, ไอ้นี่แค่ตัวเดียวไม่พองั้นสินะ
 ช่างเถอะ, ใช้เป็นเครื่องรางไปก่อนละกัน」 พูดจบมาริสะก็เอาสารกึ่งตัวนำไปติดที่ริบบิ้นบนหมวกของเธอ



มาริสะพอใจที่ได้รู้ตัวจริงของหินที่ตัวเองเก็บมา, จึงเริ่มอ่านหนังสือ
ว่ากันว่าถ้าเป็นคนที่สามารถใช้สารกึ่งตัวนำได้เป็นอย่างดีล่ะก็, จะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างหลากหลาย
แม้จะไม่รู้วิธีการใช้งานมันในฐานะอุปกรณ์ แต่ถ้าสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ ก็น่าจะใช้เป็นเครื่องรางได้ด้วยล่ะมั้ง
ในแง่ของขนาดก็แค่ราวๆหัวแม่โป้ง คงต้องจัดว่ามีขนาดกำลังดีไม่เกะกะจนเกินไป

สารกึ่งตัวนำนี้เป็นแค่หินธรรมดาสำหรับมาริสะ จนกระทั่งเธอรู้ชื่อของมัน
เป็นแค่หินสีดำที่มีขางอกออกมาเท่านั้นเอง
โลกของมาริสะที่ไม่เคยตั้งชื่อให้นั้นไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัตถุได้
แต่ด้วยการมาถามผม ทำให้หินก้อนนี้หลุดออกมาเป็นเอกเทศอย่างง่ายดายทันที และตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องรางไปแล้ว

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนตั้งชื่อให้มันหรอกนะ
เพราะมันถูกตั้งชื่อเอาไว้อยู่แล้วต่างหาก
ความแตกต่างระหว่างผมกับมาริสะนั้นมีแค่เรื่องของการมองเห็นชื่อเท่านั้นเอง
จับจ้องด้วยความรู้สึกว่ามันกลายเป็นอุปกรณ์ แล้วแบ่งปันความทรงจำที่อุปกรณ์นั้นได้เห็นร่วมกัน
นั่นคือความรักที่มีต่ออุปกรณ์, ขอแค่มีความรัก การจะรู้ชื่อก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว



―――กริ๊งกริ๊ง

「อยู่รึเปล่า ?」

「โอ้ อยู่โว้ย」

「อ๊ะ, เจอแล้ว เจอแล้ว มาริสะ, เอ้ย ไม่ใช่เธอสักหน่อย ! หมายถึงคุณรินโนะสุเกะน่ะอยู่รึเปล่า ?」

「อ้อ เรย์มุเองเหรอ, ผมอยู่นะ
 วันนี้มีธุระอะไรล่ะ ?」

「มีของที่อยากให้คุณรินโนะสุเกะช่วยดูให้หน่อยน่ะ」 เรย์มุพูดพลางเข้ามาด้านในของร้านตามอำเภอใจ

「มีอะไรเรอะ ? ถ้าน้ำชาล่ะก็, อยู่ตรงนี้นะว้อย」

「อ้อ จริงด้วย
 เตรียมพร้อมดีนี่นา」 ตอนที่เธอจะเดินกลับไป ในมือก็มีขนมเซมเบ้แล้ว, ช่างทำตามอำเภอใจได้ไร้ที่ติจริงๆ

「แล้ว, ของที่อยากให้ดูคืออะไรล่ะ ?」 ไม่รู้ว่าทำไมมาริสะจึงถามแทนผมซะงั้น

「ใช่ใช่, อยากให้ดูหินก้อนนี้ให้หน่อยน่ะ... ...」

หินอีกแล้ว
เรย์มุเองก็เก็บหินจากโลกภายนอกหรืออะไรทำนองนั้นมางั้นเหรอ
ผมคิดว่าหินเป็นของที่แม้เก็บได้มาก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรมากมายนัก
หินที่จะกลายเป็นอุปกรณ์ได้ก็มักจะเป็นพวกหินทับของดองหรือไม่ก็หินจุดไฟซะด้วยสิ

「ใหญ่เอาการเลยนะ
 แต่ก็แค่หินธรรมดานี่นา ?」 มาริสะกล่าว

「ดูให้ดีๆสิ !」

「งั้นขอดูหน่อยละกัน
 ... ...โฮ่
 เจ้านี่มัน」



หินที่ถูกส่งมามีรูปร่างคล้ายส่วนหนึ่งของกระดูกของสัตว์
กล่าวคือเจ้านี่ไม่ใช่หิน แต่เป็นกระดูก
เจ้านี่ไม่ใช่ของที่หายาก, ทว่า, ขนาดของมันใหญ่ผิดปกติมาก
เป็นส่วนหนึ่งของกระดูกแต่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือแบบนี้, มันค่อนข้างจะใหญ่เกินไปหน่อย

「เจ้านี่เป็นกระดูกของอะไรสักอย่างใช่มั้ยล่ะ ?
 พูดง่ายๆก็คือเป็น ฟอสซิล ใช่ม้า
 ฉันมาที่นี่เพราะคิดว่าถ้าเป็นคุณรินโนะสุเกะก็น่าจะรู้ว่ามันคือฟอสซิลของอะไรน่ะ」



หืม
มันก็จริงที่ว่าดูยังไงหินก้อนนี้ก็คือ 『ฟอสซิล』

「ฟอสซิลกระดูกงั้นเหรอ
 ถ้ามีสัตว์ที่กระดูกใหญ่ขนาดนี้อยู่ล่ะก็ ตอนมันมีชีวิตต้องตัวใหญ่เอาการเลยนะว้อย ?
 ต้องใหญ่กว่าร้านโควรินโดวแน่ๆเลย
 แสดงว่าเมื่อก่อนเคยมีสัตว์ที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นอยู่สินะ
 เจ้านี่เป็นกระดูกของสัตว์อะไรกันแน่นะ ?」

มาริสะเองก็กำลังคิดว่ามันเป็นฟอสซิลกระดูกของสัตว์ที่ตายไปแล้ว... ...
แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าฟอสซิลมันไม่น่าจะถูกฝังอยู่ในพื้นดิน
สิ่งที่เรียกว่าฟอสซิลนั้น เกิดจากการที่มีคนไปขุดกระดูกขึ้นมาแล้วเรียกมันว่าฟอสซิลต่างหาก
แล้วการที่คิดว่าเคยมีสัตว์ตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่ในสมัยก่อนก็เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างแรง
ผมคงต้องสอนทั้งสองคนว่ากระดูกนี้เป็นกระดูกของอะไร,
และทำไมกระดูกที่เรียกว่าฟอสซิลนี้จึงมีขนาดใหญ่มากจนไม่อาจคิดได้ว่าเป็นของในยุคปัจจุบัน

「เอ้อ เรย์มุ มาริสะ
 ดูเหมือนพวกเธอกำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ」



―――ยิ่งแสงแดดแห่งฤดูร้อนแรงกล้า ภายในร้านก็ยิ่งมืดมากขึ้น
แม้ว่าภายในร้านจะแคบและมีสินค้าวางเรียงราย แต่การระบายอากาศก็มิได้เลวร้ายแต่อย่างใด
โดยพื้นฐานแล้วเกนโซวเคียวมีลมพัดอยู่ไม่ขาดสายเพราะมีลักษณะเป็นหมู่เขา, ภายในร้านจึงอยู่สบายแม้เป็นฤดูร้อน

กระดิ่งลมที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างกำลังร่ำร้องด้วยสายลมฤดูร้อน
แต่สินค้าปริศนาในร้านโควรินโดวเองก็ต้องลมจนสั่นไหวเกรียวกราว, กลบเสียงกระดิ่งลมจนมิดหายเลย
ผมเคยคิดว่าถ้าสินค้าโดนลมขนาดนี้, เดี๋ยวจะมีตำหนิเอาได้
แต่ยังไงเสียก็ไม่มีทีท่าว่าจะขายได้อยู่แล้ว แถมมีสินค้าใหม่เข้าร้านอยู่เรื่อยๆด้วย, จึงไม่ใส่ใจมากนัก
และแน่นอนว่า, ของที่ล้ำค่าจริงๆนั้นล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในสถานที่อื่น



「เข้าใจผิดที่ว่าเนี่ยอะไรเหรอ ? ไม่ว่าใครจะมองยังไง เจ้านี่ก็เป็นกระดูกนี่นา」

「จริงอยู่ว่าเจ้านี่คือกระดูก
 แต่ว่านะ, มันไม่ใช่ฟอสซิลหรอก」

「แต่ดูยังไงมันก็กลายเป็นหินแล้วนี่นา... ...」

「ฟอสซิลน่ะคือ 『หินที่ถูกตั้งชื่อตามสัตว์ที่เป็นเจ้าของกระดูกที่กลายเป็นหินนั้น』 ไงล่ะ
 มันจะกลายเป็นฟอสซิลครั้งแรกหลังจากที่มีการตั้งชื่อสัตว์ตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
 จนกว่าจะถึงตอนนั้น มันยังไม่มีชื่อ จึงไม่แตกต่างไปจากก้อนหินทั่วไป」

「งั้นถ้าถามชื่อสัตว์ที่เป็นเจ้าของหินก้อนนี้จากคุณรินโนะสุเกะ, เจ้านี่ก็จะกลายเป็นฟอสซิลสินะ ?」

「เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่... ...แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก
 สัตว์ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตยุคก่อน ซึ่งเหล่าเทพยังไม่ได้ตั้งชื่อให้, มันจึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีชื่อน่ะ
 มีแต่ของแบบนี้เท่านั้นที่แม้แต่ความสามารถของผมก็ไม่สามารถรู้ชื่อได้」

「เหรอ, ถ้างั้น, ฉันสามารถตั้งชื่อให้มันในฐานะผู้ค้นพบได้สินะ ?」



ในขณะที่พลังในการตั้งชื่อคือพลังของพระเจ้า, แต่เดิมเหล่าเทพเองก็ไม่ได้ถูกตั้งชื่อเหมือนกัน
ชื่อของเทพที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันอย่าง ทาเคะมิคาจิฉิโนะมิโคโตะ หรือท่านฮาฉิมันนั้น, เป็นเพียงด้านหนึ่งของเทพเหล่านั้นเท่านั้น
อย่างเช่น ทาเคะมิคาจิฉิโนะมิโคโตะ (建御雷命) นั้นแต่เดิมมีนามว่า มิคัทสึฉิ (甕霊) ซึ่งเป็นเทพที่สิงสถิตในไห(甕)ตามชื่อนั้น
แต่เมื่อถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทาเคะมิคาจิฉิโนะมิโคโตะ ก็ได้เปลี่ยนจากเทพแห่งอาคม (=甕) กลายเป็นเทพแห่งดาบ (=雷) (สายฟ้า)
การที่คุณลักษณะของเทพเปลี่ยนแปลงไปตามชื่อที่ตั้งนั้นเป็นหลักฐานว่า ชื่อคือสิ่งที่แสดงถึงด้านหนึ่งของเทพ
ในสมัยก่อน แม้แต่รูปลักษณ์ของเทพก็ยังคลุมเครือยิ่งกว่านี้, จึงไม่มีความแตกต่างจากผู้ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเลย

หากพูดในทางกลับกัน, เทพที่ยังคงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้จะสิงสถิตอยู่ในวัตถุยุคก่อนการตั้งชื่อเท่านั้น
เพราะหากเทพไปสิงสถิตอยู่ในวัตถุที่ได้ตั้งชื่อแล้ว ก็จะแสดงออกถึงภาพลักษณ์เพียงด้านเดียวของเทพองค์นั้นเท่านั้น

「เธออยากให้เจ้านี่เป็นฟอสซิล แทนที่จะเป็นกระดูกงั้นเหรอ ?」

「ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก... ...แต่พอไม่รู้ชื่อแล้วมันรู้สึกแย่นี่นา
 แถมยังสงสัยไม่หายเลยว่าสัตว์ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มันคือสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่」

「เจ้าของกระดูกนี้มีขนาดใหญ่งั้นเหรอ ? นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างที่สุดเลยนะ」

「แต่ว่า~... ...」

「ลองจินตนาการถึงสัตว์ที่มีกระดูกใหญ่ขนาดนี้ดูสิ
 มันต้องสูงกว่าร้านนี้อย่างมาก, ส่วนความยาวก็น่าจะราวๆเนื้อที่ของศาลเจ้า
 สิ่งมีชีวิตแบบนั้นมันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกันล่ะ
 ต้องรวบรวมอาหารมากมายแค่ไหนถึงจะเพียงพอ, แถมแค่ควบคุมร่างกายก็เต็มที่แล้ว ไม่มีทางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้เลย
 แล้วจะปกป้องลูกๆยังไงในขณะที่ต้องหาอาหารปริมาณมากแบบนั้น ?
 ไม่มีความจำเป็นที่สัตว์จะต้องตัวใหญ่ขนาดนั้นเลย, ไม่มีแม้แต่อย่างเดียว」

「เอ๋ ? แต่ก็มีกระดูกอยู่ตรงนี้นี่นา
 แถมฟอสซิล, หมายถึงของที่คล้ายกับฟอสซิลแบบนี้น่ะ, ฉันเจอตกอยู่ที่อื่นเต็มไปหมดเลยนะ... ...ถ้าอย่างนั้นพวกมันคืออะไรกันล่ะ ?」



น่าแปลกที่มาริสะดูจะไม่ค่อยสนใจและยังคงอ่านหนังสืออยู่
เธอคงคิดว่าเรื่องของสัตว์ยุคโบราณแบบนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมันล่ะมั้ง
ทว่า, นี่ไม่ใช่เรื่องของสัตว์ยุคโบราณ
เป็นเรื่องของการพัฒนามาจนถึงปัจจุบันต่างหาก

「แต่เดิมเจ้าของกระดูกนี้มีขนาดตัวปกตินะ
 แต่กระดูกกลับมีขนาดเท่ากับที่พวกเรารู้กันในตอนนี้
 หลังจากสัตว์ตัวนั้นได้ตายลง, เนื้อก็กลับสู่ผืนดิน, ส่วนกระดูกที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
 หลักฐานก็คือ เพิ่งจะเมื่อเร็วๆนี้เท่านั้นที่มีการค้นพบฟอสซิลขนาดใหญ่แบบนี้และเริ่มเป็นข่าวครึกโครมกัน
 ในสมัยก่อนนั้นมันยังมีขนาดเล็ก จึงไม่เคยเป็นข่าวครึกโครมเลยแม้จะมีการค้นพบก็ตาม」

「จะบอกว่ากระดูกมันใหญ่ขึ้นเองหลังจากที่ตายไปแล้วงั้นเหรอ ?
 เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ」

「แน่นอนว่าตามปกติแล้วมันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
 ถ้างั้นทำไมกระดูกถึงใหญ่ขึ้นงั้นเหรอ... ...ใช่แล้ว, เพราะว่าเจ้านี่ไม่เคยเป็นฟอสซิลเลยไงล่ะ
 เป็นเพราะสัตว์ตัวนี้มันอยู่มาก่อนที่จะมีการตั้งชื่อน่ะ」

ผมหยิบน้ำชาขึ้นมา
น้ำชาอุ่นลงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผมตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
มีแต่คนแบบเรย์มุเท่านั้นที่ยังสามารถดื่มน้ำชาร้อนๆได้ด้วยสีหน้าปกติในฤดูร้อนซึ่งร้อนแบบนี้

「เมื่อไม่มีชื่อ, สัตว์ตัวนี้จึงไม่มีเอกลักษณ์ใดๆเมื่อเทียบกับวัตถุอื่นในแง่ของการแยกแยะ, ทำให้หลอมรวมไปกับโลก
 ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหิน กระดูก ดิน หรือว่าสัตว์, รู้เพียงแค่ว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นเท่านั้น
 นั่นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเทพ, ด้วยเหตุนี้พวกเทพจึงสิงสถิตอยู่ในวัตถุที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแบบนี้เท่านั้น
 จากนั้นในอนาคตอันแสนไกล กระดูกที่มีเทพสิงสถิตจะได้รับร่างเนื้อและปกครองพื้นพิภพ, มันจึงสามารถเติบโตเองได้ไงล่ะ」

「เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน
 เรื่องมันไปเร็วจนตามไม่ทันแล้ว」

「งั้นเหรอ ? เอาแบบง่ายๆละกัน
 กระดูกที่เรย์มุนำมาคือส่วนหนึ่งของผู้ที่กำลังพยายามจะอวตารเป็นเทพอะไรสักอย่างไงล่ะ」

「มันจะใช่เร้อ~」

「การที่มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆก็คือหลักฐานอย่างหนึ่ง
 แต่ก็มีหลักฐานที่แน่ชัดยิ่งกว่านั้นอยู่นะ
 นั่นก็คือ ความสามารถของผมไม่อาจมองเห็นชื่อของมันได้, ก็แสดงว่ามันไม่มีชื่อไงล่ะ」

「เหรอ... ...ฉันเองก็ตัดสินไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ซะด้วยสิ
 ถ้างั้นก็หมายความว่า กระดูกนี่พยายามจะอวตารเป็นเทพอะไรสักอย่างสินะ ?」

「เรื่องแบบนั้นจินตนาการเอาแป๊บเดียวก็ได้แล้วนี่นา
 อวตารของเทพที่มีกระดูกสันหลังใหญ่ขนาดนั้น
 แม้แต่ในเกนโซวเคียวเองก็ยังพบเห็นเทพแบบนั้นได้เป็นบางครั้งเลยนี่... ...เรย์มุน่าจะเข้าใจสินะ ?」

「อ๋อ--- อย่างนี้นี่เอง
 ถ้าแบบนั้นก็... ...เข้าใจแล้วล่ะ」



ตะวันเริ่มตกดิน, ท้องฟ้ากำลังถูกย้อมด้วยสีแดงเล็กน้อย
ความร้อนของยามกลางวันได้สลายไปจนสิ้น, มีเพียงเสียงของกระดิ่งลมเท่านั้นที่ทำให้นึกถึงความร้อนในยามกลางวันขึ้นมา
สองคนนั่นก็กลับไปด้วยความพอใจแล้ว

สุดท้ายแล้วแม้แต่ผมเองก็ไม่สามารถมองเห็นชื่อของวัตถุที่อยู่มาก่อนยุคที่เหล่าเทพตั้งชื่อได้
แต่ว่ามนุษย์กลับค้นพบกระดูกจากยุคสมัยนั้น แล้วตั้งชื่อกันตามอำเภอใจ
ณ ตอนนั้นเองที่ส่วนหนึ่งของเทพเจ้าไร้นามได้ถูกจำกัดให้กลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดา
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล นั่นเอง

ส่วนหนึ่งของเทพซึ่งกลายเป็นฟอสซิล จะหยุดการเจริญเติบโตไว้แค่ ณ ตอนนั้น
มนุษย์ที่พลังแห่งจินตนาการไม่เพียงพอก็จะมองดูกระดูกที่เติบใหญ่ขึ้นแบบครึ่งๆกลางๆเหล่านี้แล้วพูดว่า
「เมื่อก่อนเคยมีสัตว์ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วยแฮะ」
ทำให้ผมรู้สึกสงสารพวกเขานิดหน่อย



―――กริ๊งกริ๊ง

「เอ้อ, ลืมถามไปเรื่องหนึ่งล่ะ」

เรย์มุกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังเก็บกระดิ่งลมและจะปิดหน้าต่าง

「อะไรเหรอ ? เรื่องของกระดูกอีกแล้วเหรอ ?」

「ฟังจากที่คุณรินโนะสุเกะเล่าก็เลยเข้าใจว่ากระดูกนี้คือ 『ส่วนหนึ่งของมังกร (龍)』 น่ะ
 แต่ว่า, ฉันเจอฟอสซิลเปลือกหอยโบราณตรงจุดที่เจอกระดูกนี่ตกอยู่ด้วยล่ะ
 พวกหอยนี่เป็นสัตว์ทะเลสินะ ?
 รู้รึเปล่าว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
 หรือว่าเกนโซวเคียวเองก็เคยอยู่กลางทะเลมาก่อน ?
 ทั้งๆที่อยู่กลางหมู่เขาแบบนี้แท้ๆ... ...」

มนุษย์ที่มีพลังแห่งจินตนาการไม่เพียงพอ คือสิ่งที่น่าสงสารอย่างสุดซึ้ง
การที่คิดว่า 『สัตว์ทะเลถูกฝังอยู่ใต้ดินก็แสดงว่าตรงนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน』 มันช่างน่าสงสารเหลือเกิน

「งั้นเหรอ, กระดูกมังกรถูกฝังอยู่รวมกันกับหอยทะเลงั้นเหรอ... ...
 ถ้างั้นทำไมถึงคิดว่าเกนโซวเคียวเคยอยู่กลางทะเลมาก่อนล่ะ ?」

「เอ๊ะ ? ก็แหม, มันเป็นของมันแบบนั้นนี่นา ?
 พอที่ที่เคยเป็นทะเลได้กลายเป็นแผ่นดินขึ้นมา ก็จะเหลือเปลือกหอยเอาไว้」

「ไม่ใช่แบบนั้นหรอก, ถ้ามันค่อยๆกลายเป็นแผ่นดินขึ้นมา พวกสัตว์ทะเลก็ต้องหนีลงทะเลไปหมดสิ
 ในทางกลับกัน, ถ้าเกิดเหตุวิปลาสจนทะเลกลายเป็นแผ่นดินในพริบตา, เปลือกหอยก็ไม่น่าจะคงสภาพเดิมเอาไว้ได้
 ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม, มันไม่มีทางอยู่นิ่งๆจนกลายเป็นหินได้หรอก จริงมั้ย ?」

「มันก็ใช่อยู่หรอก... ...ถ้างั้นเปลือกหอยนี่คืออะไรล่ะ」

「พวกมังกรน่ะ, จำเป็นต้องถือกำเนิดขึ้นในสถานที่ซึ่งเป็นทะเล
 หากสถานที่เก็บกระดูกไม่ใช่ทะเล ก็ไม่สามารถคืนชีพได้
 เปลือกหอยพวกนั้นจึงมีไว้เพื่อจัดฉากไงล่ะ」

「เรื่องนั้นฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ ?
 ที่ว่าถ้าไม่ใช่ทะเลแล้วมังกรจะคืนชีพไม่ได้เนี่ย」

ผมอยากจะเชื่อว่าเรย์มุที่เป็นมิโกะน่าจะรู้เรื่องของเทพดีกว่าผม, แต่เรย์มุยังเด็กเกินไป
ผมจึงจำเป็นต้องสอนเธอให้มากกว่านี้

「มังกรจะคืนชีพในทะเล แล้วไต่ขึ้นไปยังท้องฟ้า กลางหมู่เมฆฝนฟ้าคะนอง จากนั้นก็ทะยานสู่สวรรค์
 หลักฐานก็คือ ทั้งทะเล ฝน และสวรรค์ ล้วนถูกตั้งชื่อโดยมังกร」

「รู้ดีจังเลยนะ
 แต่ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า」

「เหตุผลนั้นสามารถรู้ได้จากคำอ่านที่เหมือนกันทั้งสามคำ, ทะเล ฝน สวรรค์, ล้วนอ่านว่า 『อามะ』
 คำว่า ชาวทะเล แม้อยู่คำเดียวก็อ่านว่า อามะ ได้ แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็คือ 『อามะบิโตะ』
 ร่มกันฝน (อามะกาสะ) ธารสวรรค์ (ทางช้างเผือก) (อามะโนะคาวะ) ก็เป็นคำที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติ
 มังกรจะบินสู่สวรรค์พลางเรียกฝนฟ้าคะนอง, วังมังกรก็อยู่ในทะเลจึงมีความเกี่ยวพันกับน้ำเป็นอย่างมาก
 เรื่องนั้นเรย์มุเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ ?」

ท่าทางเรย์มุจะยังสงสัยอยู่นิดหน่อย, แต่ผมอยากเพิ่มพลังแห่งจินตนาการของเรย์มุให้มากยิ่งกว่านี้ จึงพูดต่อไปทั้งอย่างนั้น

「อีกเหตุผลหนึ่ง, หลักฐานว่ามังกรเดินทางผ่าน 『อามะ』 ทั้งสามก็คือ 『รุ้ง』 ที่พาดอยู่บนสวรรค์
 สิ่งที่ปรากฏขึ้นหลังจากฝนฟ้าคะนองก็คือ รอยผ่านทางที่มังกรปรากฏตัวไงล่ะ」



「อ๋อ--- อย่างนี้นี่เอง
 ชักรู้สึกว่าจะเข้าใจขึ้นมาแล้วสิ」

「ใช่แล้ว, การกำเนิดของมังกรจำเป็นต้องมี 『อามะ』 ทั้งสาม
 แม้จะมีฝนกับสวรรค์อยู่ แต่เกนโซวเคียวไม่มีทะเล
 ดังนั้นมังกรจึงพยายามสร้างทะเลมายาขึ้นมา
 สิ่งที่ใช้จัดฉากเป็นทะเลมายานั้นก็คือ หินรูปหอยที่หลับใหลอยู่ด้วยกันนั่นเอง」



เรย์มุเข้าใจดีแล้ว จึงกลับไปยังศาลเจ้าก่อนที่จะค่ำมืด

เรื่องของหินมังกรที่ผมสอนแก่เรย์มุและมาริสะในวันนี้, ไม่ใช่เรื่องที่ผมแต่งขึ้นแต่อย่างใด
นี่เป็นเรื่องที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ทราบ, คือที่จริงแล้วหินที่เรียกว่าฟอสซิลนั้นถูกโลกภายนอกเรียกขานว่า มังกร (竜)
มีวิธีเรียกหลายแบบ เช่น ไดโนเสาร์ มังกรบิน มังกรทะเล
ผมคิดว่าเรื่องเหล่านั้นได้กลายเป็นสามัญสำนึกของโลกภายนอกในปัจจุบันไปแล้ว

ยังไงก็ตาม, ในเกนโซวเคียวนั้น มังกร (竜) (= สัตว์) จะกลายเป็น มังกร (龍) (= เทพ) จึงกลายเป็นกระดูกมีชีวิต มิใช่ฟอสซิล
หากถามว่าทำไมจึงเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น, นั่นก็เพราะเกนโซวเคียวไม่เคยตั้งชื่อให้กับสัตว์ที่เป็นเจ้าของกระดูกเหล่านั้นนั่นเอง
เพราะไม่ได้ตั้งชื่อ, กระดูกจึงไม่กลายเป็นฟอสซิล แล้วเจริญเติบโตต่อไปเรื่อยๆ



ตัวผมนั้น, จะไม่ตั้งชื่อให้แก่วัตถุในยุคที่ไม่มีชื่อ
สำหรับสิ่งที่ผมไม่อาจมองเห็นชื่อได้ด้วยความสามารถของผมนั้น, ผมจะไม่ค้นหาความทรงจำเบื้องลึกของมัน
ผมคิดว่าการขอยืมพลังของพระเจ้ามาใช้โดยพลการ มันเป็นเพียงความอวดดีของตนเองเท่านั้น





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- รินโนะสุเกะรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรเยอะมากเกินคาด ในขณะที่เรย์มุรู้น้อยเกินคาด



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้