SoP - Article 4


東方求聞口授 ~ Symposium of Post-mysticism.
โทวโฮวกุมอนคุจุ (ใคร่รู้คำสอนแห่งตะวันออก) ~ งานประชุมสัมมนาแห่งยุคหลังความเชื่อทางศาสนา


.........................................................................................................................................................................................

บทที่ 4
ปัจจุบันและอนาคตของผู้ถูกรังเกียจ



มาริสะ : ใต้พิภพน่ะโหดร้ายสุดๆเลยล่ะ
    ไม่มีโยวไคนิสัยเข้าท่าสักตัว สภาพแวดล้อมก็เลวร้ายสุดขีด เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวชื้น
    ทุกอย่างรุมเร้าเข้าฆ่ามนุษย์อย่างไร้ปรานี......จะว่าไปแล้ว พวกเธอเคยลงไปใต้พิภพกันรึเปล่า ?
มิโกะ : ฉันยังไม่เคยลงไปใต้พิภพ แค่เคยเจอกับโยวไคที่น่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ใต้พิภพมาแล้วค่ะ
เบียคุเรน : เคยแวะลงไปหลายครั้งเพื่อตรวจสอบว่าไม่ลืมอะไรไว้ในจุดที่ยุ้งฉางลอยฟ้า(*1)เคยถูกผนึกเอาไว้ค่ะ
    *1 [ยุ้งฉางลี้ลับที่น้องชายของเบียคุเรนนามว่า เมียวเรน เหลือทิ้งเอาไว้ ใช้บินไปบนท้องฟ้าแล้วขโมยพืชผลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น]
คานาโกะ : ฉันไปเป็นประจำเลย
มาริสะ : อ้อ จะว่าไปก็จริงแฮะ
    พอลองคิดดูดีๆแล้วสาเหตุที่ฉันต้องลงไปใต้ดินก็คือเธอนี่หว่า
คานาโกะ : แหะแหะ
มาริสะ : น่าแค้นจริงโว้ย

[ประเด็นในเกนโซวเคียวจากมุมมองของคานาโกะ]

อาคิว : ขออภัยที่ขัดจังหวะนะคะ
    ทำไมสาเหตุที่คุณมาริสะลงไปใต้พิภพถึงเกี่ยวข้องกับคุณคานาโกะล่ะคะ
    ช่วยเล่าให้ฟังสักหน่อยได้มั้ยคะ ?
มาริสะ : โอ้ ตกใจหมดเลย อย่าพูดขึ้นมากะทันหันแบบนี้สิ คุณเสมียน
    เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ
    เพราะคนที่ไปอาละวาดในใต้พิภพคือคานาโกะรึเปล่านะ ?
คานาโกะ : ไม่ได้อาละวาดค่ะ
มิโกะ : แต่ดูแล้วก็น่าจะชอบอาละวาดอยู่......
คานาโกะ : ว่าไงนะ ?
    ไม่สิ ฉันแค่คิดจะใช้ประโยชน์จากใต้พิภพที่เต็มไปด้วยพวกยุ่งยากเพื่ออนาคตของเกนโซวเคียวเท่านั้นเองค่ะ
มิโกะ : ใช้ประโยชน์ ?
คานาโกะ : ก่อนอื่น คิดว่าสิ่งที่เกนโซวเคียวในปัจจุบันต้องกังวลคืออะไรคะ ?
เบียคุเรน : อืม---
    ปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหาร ?
    ที่นี่เป็นมิติปิดตายที่คับแคบเสียด้วยสิ......
มิโกะ : ปัญหาการเมืองล่ะมั้ง ? จิตใจที่ว้าวุ่นจะพังทลายลงในทันทีเลยเสียด้วย
มาริสะ : ปัญหา Y2K ? ฉันไม่ชำนาญเรื่องนั้นซะด้วยสิ
    (ปัญหาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2000 เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์สมัยก่อนระบุปีด้วยเลขท้ายสองตัวเท่านั้น เมื่อถึงปี 2000 จึงระบุว่าเป็น 00)
    (ทำให้ระบบสับสนว่าเป็นปี 1900 หรือ 2000 กันแน่ จนระบบคำนวณเรื่องเกี่ยวกับเวลาผิดพลาดอย่างรุนแรง เช่น การคำนวณดอกเบี้ย)
คานาโกะ : ไม่ใช่ไม่ใช่ ปัญหาเรื่องพลังงานต่างหาก
    คิดว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนเกนโซวเคียวในตอนนี้มาจากไหนกันล่ะ ?
เบียคุเรน : อาหารกับการย่อย ?
มิโกะ : ศาสนากับความน่าเกรงขาม ?
มาริสะ : เอ่อ......(*2)
    *2 [ไม่รู้ว่าปัญหา Y2K คืออะไรก็เลยนึกไม่ออกสินะคะ......]
คานาโกะ : ไม่ต้องพยายามคิดก็ได้ค่ะ
    พลังงานมาจากโลกภายนอกที่ยังเชื่อมต่อบนแผ่นดินเดียวกันกับเกนโซวเคียวค่ะ
    ทราบรึเปล่าคะ ? ทั้งฝน สายลม พระอาทิตย์ ทุกอย่างล้วนเป็นของโลกภายนอกค่ะ
    สถานการณ์ปัจจุบันคือทั้งพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากส่วนเกินของโลกภายนอกค่ะ
มาริสะ : เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นพลังเวทหรือพลังวิญญาณล่ะ......
คานาโกะ : พวกนั้นต่างออกไป
    สิ่งที่ถูกกั้นแบ่งออกไปมีเพียงสิ่งที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของมนุษย์เท่านั้น
    สิ่งที่มีตัวตนทางจิตใจอย่างพลังเวทจึงปิดตายอย่างสมบูรณ์อยู่ในเกนโซวเคียวเท่านั้น
มาริสะ : ถ้างั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหนเลยนี่นา
    ตกลงว่าปัญหาเรื่องพลังงานมันคืออะไรล่ะ ?
คานาโกะ : ไม่เคยคิดเลยเหรอ ? ประมาณว่า อยากลองใช้เครื่องจักรปริศนาที่มาจากโลกภายนอกจังเลย อะไรทำนองนั้นน่ะ
มาริสะ : เอ๋ ? ไอ้พวกนั้นสามารถใช้ในเกนโซวเคียวได้ด้วยเหรอ ?
คานาโกะ : ใช่แล้ว ใช้ได้แน่นอน พวกเทนกุและกัปปะก็กำลังใช้อยู่
    แต่จำเป็นต้องมีพลังงานเหมือนที่ถูกใช้อยู่ในโลกภายนอกเพื่อให้สามารถใช้งานได้
    ตอนนี้เกนโซวเคียวมีแค่พลังงานที่ได้รับมาจากส่วนเกินของโลกภายนอก
    แต่หากสามารถสร้างขึ้นได้เอง เกนโซวเคียวต้องกลายเป็นโลกที่วิเศษยิ่งกว่านี้แน่ๆ
เบียคุเรน : แบบนั้นหมายความว่าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นเหมือนโลกภายนอกเหรอคะ ?
    ไม่เกี่ยวพันไปถึงการพังทลายของเกนโซวเคียวเหรอคะ ?
คานาโกะ : ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกนโซวเคียวเดินไปในทางเดียวกับโลกภายนอกค่ะ
    ในทางกลับกัน มนุษย์โลกภายนอกเริ่มเปลี่ยนแปลงสามัญสำนึกแล้ว หากปล่อยไว้อย่างนี้เกรงว่าเกนโซวเคียวอาจทำลายตัวเองได้ค่ะ
มิโกะ : เอ๋ ?
คานาโกะ : สามัญสำนึกเปลี่ยนจาก 「ส่งเสริมนวัตกรรม」 กลายเป็น 「ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม」 ค่ะ
    โลกภายนอกเริ่มมองว่าการใช้พลังงานเป็นสิ่งชั่วร้ายกันแล้วค่ะ
มิโกะ : เริ่มประหยัดสินะ แล้วมันมีผลกระทบยังไงกับเกนโซวเคียวล่ะ......
คานาโกะ : ก่อนหน้านี้มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีพลังงานให้ใช้อย่างไม่จำกัด แต่เมื่อรู้ว่ามีจำกัดจึงเริ่มให้ความสนใจค่ะ
    ซึ่งมันทำให้เกนโซวเคียวได้รับพลังงานน้อยลงจนอาจจะถึงขั้นไม่ได้รับเลย นั่นแหละคืออันตรายที่ฉันพูดถึงค่ะ
เบียคุเรน : ตัวฉันไม่รู้จักโลกภายนอกเลยไม่ค่อยเข้าใจน่ะค่ะ
    อันตรายที่ว่านั่นเกี่ยวพันถึงอนาคตในระดับไหนเหรอคะ ?
คานาโกะ : ความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเห็นมาเรื่อยๆตั้งแต่ 30-40 ปีก่อน และกลายเป็นประเด็นสำคัญเมื่อ 10 ปีก่อนค่ะ
    ไม่ใช่เรื่องที่เห็นผลทันตาก็จริง แต่ฉันคิดว่าอีกหลายสิบปีให้หลังจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นอย่างชัดเจนแน่ค่ะ
    หนึ่งในวิธีการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็คือ การเพิ่มพลังงานที่ปิดตายอย่างสมบูรณ์อยู่ในเกนโซวเคียวเท่านั้นค่ะ
    นั่นคือจุดประสงค์ในการลงไปใต้พิภพของฉันค่ะ

[ตาปนนรก]

คานาโกะ : พอฉันมาถึงเกนโซวเคียวก็ได้ฟังจากพวกเทนกุว่าใต้พิภพของเกนโซวเคียวมีนรก(*3)อยู่ค่ะ
    จึงคิดว่าที่นั่นน่าจะมีทะเลเพลิง------
    *3 [พูดให้ถูกคือ อดีตขุมนรก พวกท่านยมบาลย้ายบทบาทในฐานะคุกไปยังขุมนรกใหม่ที่พวกตนควบคุมอยู่]
    *3 [อดีตขุมนรกจึงกลายเป็นแค่รังของผู้ถูกรังเกียจและผู้ป่าเถื่อนเท่านั้น]
เบียคุเรน : ตาปนนรก(ตา-ปะ-นะ-นะ-รก)สินะคะ ? หนึ่งในมหานรกแปดขุมค่ะ (รายละเอียดตาม LINK)
คานาโกะ : ถ้าสันนิษฐานว่าภูเขาโยวไคเป็นภูเขาไฟที่เคยระเบิดมาแล้วหลายครั้ง
    ย่อมจินตนาการได้โดยง่ายว่าตาปนนรกเป็นแอ่งแมกมาอยู่ที่แก่นโลกค่ะ
    นรกน่าจะมีความลึกค่อนข้างมาก บางทีอาจสูงขึ้นมาถึงชั้นแมนเทิลเลยก็เป็นได้
    แต่ไม่ว่ายังไงก็น่าจะเป็นนรกที่มีความร้อนและแรงดันสูงมาก
    หากเป็นสภาพแวดล้อมดังกล่าวอาจสามารถสร้างปรมาณูหลอมรวมที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงให้เกิดขึ้นบนพื้นพิภพได้......
อาคิว : ยากจังเลยนะคะ ไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ
คานาโกะ : พูดง่ายๆก็คือ นำเอาพลังงานจากจากตาปนนรกมาแก้ปัญหาเรื่องพลังงานของเกนโซวเคียวไงล่ะ
มาริสะ : ถ้าจำไม่ผิดผลลัพธ์ก็คือ มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมากเลยว่ะ
คานาโกะ : การที่น้ำพุร้อนผุดขึ้นมาคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จน่ะ
มาริสะ : ได้น้ำพุร้อนมามันก็ดีอยู่หรอก แต่พวกโยวไคส่วนใหญ่กำลังโกรธอยู่นา
    เห็นบอกว่า 「น้ำพุร้อนผุดขึ้นมา แต่วิญญาณอาฆาตก็ผุดขึ้นมาด้วย」
คานาโกะ : เรื่องนั้นเป็นเพราะขาดการตรวจสอบนิดหน่อยน่ะ
    ไม่นึกเลยว่านรกที่ไม่ได้ใช้งานแล้วจะยังมีวิญญาณอาฆาตอยู่มากมายขนาดนั้น......
เบียคุเรน : ไม่ใช่แค่วิญญาณอาฆาต เหล่าจอมเถื่อนแห่งใต้พิภพก็ออกมาด้วยนะคะ......
    ที่วัดของฉันก็มี
มิโกะ : ก่อนที่จะแก้ปัญหาเรื่องพลังงานได้ มันจะกลายเป็นการทำลายเกนโซวเคียวจากภายในแทนสินะ......
คานาโกะ : ไม่หรอก ไม่ต้องห่วงค่ะ (เหงื่อตก) ฉันคิดว่าเกนโซวเคียวที่สูญเสียการเปลี่ยนแปลงไปจะน่ากลัวกว่านะ
มาริสะ : คงงั้นมั้ง ถึงจะบอกว่าเป็นพวกป่าเถื่อน แต่ถ้าออกมาอาละวาดก็แค่กำราบให้สิ้นก็พอ
    ความรู้สึกจริงๆที่เจอตอนลงไปใต้พิภพน่ะ
    แทนที่จะเรียกว่าเป็นโยวไคป่าเถื่อน น่าจะเรียกว่าสื่อสารไม่เก่ง หรือไม่ก็เอาแต่เก็บตัวเพราะรังเกียจมนุษย์มาตั้งแต่แรกมากกว่า
    รู้สึกว่าจะมีแต่พวกที่ชอบอยู่อย่างหมาป่าเดียวดาย เลยไม่น่ากลัวเท่าไหร่ว่ะ
มิโกะ : เคยได้ยินว่าเกนโซวเคียวเป็นสถานที่ซึ่งยอมรับโยวไคทุกชนิด แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเหรอ ?
มาริสะ : ถ้ายอมรับทุกตัว ในบรรดานั้นก็จะมีโยวไคที่เริ่มเกลียดการถูกยอมรับอยู่ มันก็แค่นั้นแหละ
มิโกะ : ลักลั่นย้อนแย้งสินะ ตรงจุดนั้นก็ไม่ต่างจากมนุษย์งั้นเหรอ......
เบียคุเรน : โยวไคบนพื้นพิภพส่วนใหญ่มีตัวตนอยู่เพื่อทำให้มนุษย์หวาดกลัว
    แต่ในขณะเดียวกันก็มีโยวไคที่อยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกับมนุษย์ในระดับหนึ่งค่ะ
    ในทางตรงข้าม โยวไคใต้พิภพทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ถูกมนุษย์รังเกียจและขับไล่ไสส่ง
    จึงเชื่อกันว่าสิ้นความเชื่อถือในตัวมนุษย์และโยวไคไปแล้วค่ะ
มิโกะ : อ้าว ? การให้ความช่วยเหลือในจุดนั้นคือหน้าที่ของศาสนาพุทธไม่ใช่เหรอ ?
เบียคุเรน : เอ่อ เรื่องนั้น แบบว่า

[ผู้ถูกรังเกียจแห่งใต้พิภพ]

มาริสะ : ใช้คำว่าสิ้นความเชื่อถือในตัวมนุษย์เนี่ยน้า
    พวกที่ฉันเคยเจอก็อย่างเช่น ยามาเมะ(*4) กับ พาร์ซี่(*5) ?
    ยามาเมะทำให้ทุกคนที่เข้าใกล้ล้มป่วยก็ต้องถูกรังเกียจแหงๆอยู่แล้ว
    ส่วนพาร์ซี่น่ะตอกตุ๊กตาฟางทุกคืน เห็นแล้วน่าขยะแขยงใช่มั้ยล่ะ ?
    *4 [คุโระดานิ ยามาเมะ กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้]
    *5 [มิซึฮาชิ พาร์ซี่ โยวไคขี้อิจฉา]
เบียคุเรน : โยวไคที่คุณเกลียดก็จะเกลียดคุณด้วยเช่นกันค่ะ เรื่องนี้ไม่ต่างจากมนุษย์เลย
มาริสะ : ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เหอะ ใครจะไปชอบโยวไคพรรค์นั้นได้ลงคอล่ะ......
เบียคุเรน : กรณีของคุณยามาเมะ
    ถ้าเข้าใกล้อย่างระมัดระวังในขณะที่สุขภาพแข็งแรงเพียงพอ แล้วขอให้เล่าวีรกรรมในอดีตให้ฟัง คิดว่าไม่น่าจะเข้ามาโจมตีทันทีค่ะ
    แต่กลับถึงบ้านแล้วต้องไม่ลืมล้างมือและบ้วนปากด้วยนะคะ
มาริสะ : ปากเก่งเชียว ตัวเองยังไม่รับเขาเป็นศิษย์วัดเลยแท้ๆ
เบียคุเรน : อะแฮ่มอะแฮ่ม
คานาโกะ : ความเป็นจริงก็เหมือนกับที่มาริสะพูดนั่นแหละ มีแต่พวกที่เข้ากับมนุษย์หรือโยวไคบนพื้นพิภพได้ยากทั้งนั้นเลยน้า
    ซาโทริ(*6)ที่รับหน้าที่เป็นจ้าวแห่งวังวิญญาณพิภพซึ่งคอยบริหารจัดการตาปนนรกอยู่ก็รับมือยากเสียเหลือเกินน้า
    *6 [โยวไคเผ่าซาโทริผู้มีนามว่า โคเมย์จิ ซาโทริ]
    *6 [ส่วนคำว่า 「ซาโทริ」 ที่คุณคานาโกะพูดนั้นคาดว่าหมายถึงชื่อเผ่าพันธุ์ มิใช่ชื่อบุคคล ซับซ้อนน่าดู]
มิโกะ : ซาโทริที่ว่านั่น หมายถึงโยวไคที่อ่านใจได้สินะคะ ?
คานาโกะ : ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้โยวไคที่อ่านใจได้หรอก
เบียคุเรน : แต่ก็ขอใช้ตาปนนรกได้แล้วนี่คะ ? เจรจายังไงเหรอ ?
คานาโกะ : พูดอะไรของเธอน่ะ ไม่มีทางเจรจากับซาโทริได้หรอก
    ฉันใช้ประโยชน์จากตาปนนรกโดยพยายามไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดเท่าที่จะทำได้น่ะ
เบียคุเรน : เอ๋ ?
มิโกะ : อย่าบอกนะว่า ขโมย ?
คานาโกะ : สัตว์เลี้ยงของซาโทริ(*7)เป็นผู้บริหารจัดการ เลยมอบปัญญาให้สัตว์เลี้ยงตัวนั้นไปน่ะ
    *7 [เรย์อุจิ อุทสึโฮะ ชื่อเล่นว่า โอคูว เป็นพวกสมองนก (หมายถึง โง่)]
เบียคุเรน : มอบปัญญาแก่สัตว์เลี้ยง......เหรอคะ
คานาโกะ : ฉันสอนอีกานรกสมองกลวงตัวหนึ่งว่า เจ้าคือเทพเจ้าแห่งปรมาณูหลอมรวมผู้มีนามว่าอีกายาตะ(*8)
    ยิ่งเป็นผู้ที่มีสมองไร้เดียงสามากเท่าใดก็ยิ่งใช้พลังได้แข็งแกร่งมากขึ้นหลายเท่าจนไม่อาจรับมือได้ นี่เป็นเกร็ดความรู้อย่างหนึ่งนะ
    *8 [วิหคเทพที่ปรากฏในตำนานเทพญี่ปุ่น มีคุณลักษณะเป็นเทพแห่งการนำทางเช่นเดียวกับซารุตะฮิโกะ]
    *8 [แต่มีความโดดเด่นในฐานะเทพแห่งพระอาทิตย์มากกว่า การเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ทั้งที่เป็นวิหคดำมันฟังดูแปลกๆใช่มั้ยล่ะ ?]
    *8 [จริงๆแล้วถ้ามองพระอาทิตย์ให้ดีๆ(อันตราย!)จะเห็นจุดสีดำอยู่ค่ะ นั่นแหละคืออีกายาตะ]
มิโกะ : คล้ายกับเรื่องเล่าที่ว่ายกยอสอพลอให้หมูปีนต้นไม้สินะ
    เพราะยิ่งเป็นคนฉลาดมากเท่าใดก็ยิ่งขี้สงสัยกับทุกๆเรื่องจนกลายเป็นคนละเอียดรอบคอบมากเท่านั้น......
คานาโกะ : ใช่ใช่ โชคดีที่ซาโทริเลี้ยงสัตว์เอาไว้
    เพราะฉันไม่คิดว่าจะสามารถคุยกับซาโทริรู้เรื่องได้น่ะนะ
มิโกะ : ขืนทำแบบนั้นก็โดนอ่านใจหมดน่ะสิน้า



(ในช่องคำพูด = อีกายาตะ(八咫烏) กับคำว่า YOU // รอบตัวโอคูว = เทพ (神 / KAMI) // เหนือศีรษะคานาโกะ = สะกดจิต)
(ข้างแขนอุทสึโฮะ = อุทสึโฮะ(空) / ข้างเอวคานาโกะ = คานาโกะ(神奈子))

[เรื่องกลุ้มใจของซาโทริ]

มาริสะ : ไม่ใช่ว่าเข้าข้างซาโทริหรอกนะ แต่การโจมตีของพวกเธอน่ะรุนแรงไร้ปรานีสุดๆ เลยต้องขอบอกไว้ก่อน
    การที่ซาโทริเลี้ยงสัตว์เอาไว้มากมายน่ะรู้สึกว่าเป็นเพราะมีแต่พวกสัตว์ที่รักเธอนะ ?
เบียคุเรน : ดูไปแล้วก็ไม่ได้เข้าข้างอะไรนี่นะ
คานาโกะ : อันที่จริงเธอเองก็คงไม่อยากจะอ่านใจใครหรอก เพราะงั้นเลยไม่ค่อยออกมาจากวังวิญญาณพิภพ
    ดูเหมือนจะพยายามเก็บตัวเงียบจนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าฉันเข้าไปใกล้สัตว์เลี้ยงของเธอ
มิโกะ : ฉันคิดว่าฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นค่ะ
    เพราะว่าฉันหูดีจนสามารถฟังเรื่องราวของสิบคนได้ในเวลาเดียวกัน
    แต่พอได้ฟังคำพูดมากมายในเวลาเดียวกัน เลยกลายเป็นได้ยินคำพูดที่ไม่ต้องการได้ยินไปด้วย บางครั้งก็ได้ยินคำพูดว่าร้ายเสียดสี
    ทรมานใจเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ
อาคิว : ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นค่ะ แต่กรณีของฉันคือไม่มีวันลืมคำพูดที่เคยได้ยิน
มิโกะ : จะว่าไปแล้ว การที่ฉันใส่ที่ครอบหูนี่ก็เพราะได้ยินคำพูดมากเกินไป(*9)
    สิ่งนี้จึงช่วยปกป้องหูและจิตใจได้ในระดับหนึ่งค่ะ
    *9 [มีวิธีแบบนี้ด้วยเหรอ งั้นกรณีของฉันคือไม่ลืมสิ่งที่เคยเห็น คงต้องใช้ผ้าปิดตาสินะคะ]
เบียคุเรน : อย่างนี้นี่เอง วังวิญญาณพิภพของซาโทริก็เหมือนกับที่ครอบหูของคุณสินะคะ
มิโกะ : ในเมื่อไม่มี 「ที่ครอบใจ」 ไว้ป้องกันการอ่านใจคนอื่น การไม่เข้าใกล้มนุษย์หรือโยวไคก็คือวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วล่ะมั้ง
มาริสะ : อ๊ะ จะว่าไปแล้ว ซาโทริมีน้องสาวชื่อ โคอิชิ(*10) อยู่นี่นา แต่ดูเหมือนเธอจะอ่านใจไม่ได้ว่ะ
    *10 [โคเมย์จิ โคอิชิ ซาโทริที่อ่านใจไม่ได้ มีดที่ตัดอะไรไม่ขาด เครื่องปรุงที่ไร้รสไร้กลิ่น]
เบียคุเรน : ทั้งที่เป็นซาโทริ ? ทำยังไงน่ะ ?
มาริสะ : ดูเหมือนจะปิดกั้นจิตใจของตัวเองเพื่อผนึกการอ่านใจน่ะ
    เพราะงั้นเลยออกมาล่องลอยไปทุกหนทุกแห่ง บนพื้นพิภพก็เคยเห็นนะว้อย
เบียคุเรน : แบบนั้นมัน......
คานาโกะ : คือการไม่คิดอะไรเลยสินะ มันก็จริงที่ว่าถ้าไม่คิดอะไรเลยก็จะอ่านใจอีกฝ่ายไม่ได้
    แต่โยวไคที่ไม่คิดอะไรคงเคลื่อนไหวด้วยการตอบสนองทางเคมีเพียงอย่างเดียว ไม่ต่างจากพวกสัตว์ที่อยู่แถวนั้นสักเท่าไหร่ล่ะนะ
มิโกะ : หยุดการคิดเนี่ยน้า
    ในบรรดาวิธีหนีปัญหามากมายต้องจัดว่าเป็นระดับต่ำสุดเลยน้า
เบียคุเรน : ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ฝ่ายที่ปิดกั้นจิตใจคือคุณซาโทริที่เป็นพี่สาวไม่ใช่เหรอ ?
มาริสะ : เอ๋ ? หมายความว่าไง ?
เบียคุเรน : เธออยู่ห่างจากผู้คนเพราะไม่อยากอ่านใจใช่มั้ยล่ะ ? นั่นแหละคือการปิดกั้นจิตใจค่ะ
    แต่คุณโคอิชิพิชิตสิ่งนั้นลงได้ แล้วออกมาสู่โลกเบื้องหน้าค่ะ
มาริสะ : ถึงจะบอกว่าออกมาสู่โลกเบื้องหน้าได้ แต่ยัยนั่นก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่ดีนะว้อย ?
เบียคุเรน : โดยทั่วไป หากไม่คิดอะไรก็ไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่เคลื่อนไหวค่ะ
    แต่ในเมื่อออกมาเดินเล่นไปทั่ว แถมยังสามารถพูดคุยได้ แสดงว่าเธอยังทำสิ่งต่างๆด้วยความคิดของตนอยู่ค่ะ
    แบบนั้นไม่มีทางเรียกว่าปิดกั้นจิตใจได้หรอกค่ะ
มิโกะ : อ้อ--- สรุปว่า......
เบียคุเรน : เพียงเหตุว่ากลางนภาไร้สี จึงไร้รู้จำคิดสัมผัส (ท่อนต้นของ ปารมิตาหฤทัยสูตร ตอนที่ 1 บทที่ 11)
    ภายในแก่นแท้ของ 「ความว่างเปล่า」 ไม่มี 「สังขาร」 และไม่มีทั้ง 「เวทนา」 「สัญญา」 「สังขาร」 และ 「วิญญาณ」
    กล่าวคือไม่มี ขันธ์ 5(*11) ค่ะ
    *11 [ดูเหมือนจะประกอบด้วย 5 สิ่งคือ ตัวตน ความรู้สึก การจดจำ การคิด และประสาทสัมผัส]
    *11 [ในศาสนาพุทธถือว่าสสารและจิตใจทั้งมวลเป็นวัตถุของโลกใบนี้]
มิโกะ : อย่างนี้นี่เอง ซาโทริที่อ่านใจไม่ได้ มิใช่ว่าปิดกั้นจิตใจ แต่ละทิ้งจิตใจจนเข้าใกล้ 「ความว่างเปล่า」 สินะ
    (นิพพาน แปลว่า ความว่างเปล่า)
เบียคุเรน : อาจจะแค่บังเอิญแต่ฉันเห็นเป็นแบบนั้นค่ะ เรื่องนี้แม้แต่พระสงฆ์ที่ฝึกตนมายาวนานก็ยังถือว่าเป็นเรื่องยากเลยนะคะ
    ลองเป็นแบบนี้แล้วฉันชักอยากได้คุณโคอิชิคนนั้นมาอยู่ในวัดแล้วสิ(*12)
    บางทีอาจเข้าใกล้การรู้แจ้งได้โดยไม่จำเป็นต้องฝึกตนเลยก็เป็นได้นะคะ
    *12 [ต่อมาเธอยอมเข้าเป็นศิษย์วัดตามคำเชิญ แต่ไม่ออกบวช เพียงรับเป็นอุบาสิกาเท่านั้น]
มิโกะ : มีแต่คำว่าซาโทริเต็มไปหมด (ซาโทริ แปลว่า การรู้แจ้ง)
มาริสะ : คุยเรื่องศาสนาพุทธกันจนฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ที่บอกว่าละทิ้งจิตใจจนเข้าใกล้ 「ความว่างเปล่า」 นั่นน่าสนใจดีแฮะ
คานาโกะ : ถ้าจำไม่ผิดสัตว์เลี้ยงตัวนั้นก็ถูกตั้งชื่อไว้แบบนั้นนะ บางทีซาโทริคนพี่อาจจะคิดเอาไว้แล้วก็ได้
    (空 อ่านได้หลายแบบ หนึ่งในนั้นคือ อุทสึโฮะ และแปลได้หลายแบบ หนึ่งในนั้นคือ ความว่างเปล่า)

[วิญญาณอาฆาตกับยักษ์ในขุมนรก]

มิโกะ : เท่าที่ฟังมา เหมือนในใต้พิภพจะมีแต่ผู้ที่ถูกรังเกียจ เห็นเรียกว่าอดีตขุมนรก นึกว่าจะมียักษ์อยู่เยอะกว่านี้เสียอีก
มาริสะ : ไม่หรอก มีสิ ยักษ์เขาเดียว(*13)น่ะ
    *13 [โฮชิกุมะ ยูกิ ชอบดื่มเหล้ามาก]
คานาโกะ : ดูเหมือนยักษ์ส่วนใหญ่จะย้ายไปหางานใหม่พร้อมกับการย้ายขุมนรกนะคะ
    แต่ท่าทางจะยังมีพวกนอกกฎหมายที่น่ารังเกียจหลงเหลืออยู่ด้วย
มาริสะ : พูดให้ถูกเลยก็คือ พวกยักษ์ที่แต่เดิมทำงานอยู่ในอดีตขุมนรกส่วนใหญ่ย้ายออกไปหมดพร้อมกับการย้ายนรกแล้ว
    อดีตขุมนรกเลยเต็มไปด้วยบ้านว่างๆ
    พวกยักษ์ที่เคยทำตัวใหญ่โตและอาศัยอยู่บนพื้นพิภพจึงพากันลงมาอาศัยอยู่ที่นี่ตามอำเภอใจแล้วสร้างเมืองขึ้นมาน่ะ
คานาโกะ : ตายจริง รู้ดีจังเลยนะ ฟังมาจากใครล่ะ ?
มาริสะ : ฟังมาจากยูกิน่ะ เพราะงั้นไม่ผิดแน่
มิโกะ : เอ๋ ? คุยกับยักษ์ใต้พิภพได้ด้วยเหรอ ?
มาริสะ : เออ ถึงใต้พิภพจะปิดตายแต่พวกยักษ์น่ะเปิดกว้างนะว้อย
    ชอบชวนไปดื่มเหล้าบ่อยๆด้วย ดอกฮิกันบานะที่อดีตขุมนรกก็สวยดี จริงๆนะโว้ย
    แต่แหม ถึงฉันจะลงไปใต้พิภพก็ไม่มีโยวไคตนอื่นเข้ามาใกล้หรอกนะ
เบียคุเรน : หืม--- แต่ก็จริงที่ว่าพวกยักษ์มีความเป็นกันเองนะคะ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กน้อยด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเก็บตัวอยู่ที่นั่น
คานาโกะ : แต่ถ้าจะลงไปใต้พิภพ ยังไงก็ระวังตัวเอาไว้ก่อนดีกว่านะ
มาริสะ : จากอะไรล่ะ ?
คานาโกะ : วิญญาณอาฆาตไง
มาริสะ : วิญญาณอาฆาตงั้นสิน้า
    ฉันแยกความแตกต่างระหว่างวิญญาณอาฆาตกับยูวเรย์(ผี)ธรรมดาไม่ออก แต่วิญญาณอาฆาตอ่อนแอกว่ายูวเรย์ใช่มั้ยล่ะ ?
    ดูเหมือนพวกโยวไคจะหวาดกลัววิญญาณอาฆาตมากจนผิดปกติ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเหรอ ?
คานาโกะ : วิญญาณอาฆาตเป็นยูวเรย์ชนิดหนึ่งเลยมีพื้นฐานเหมือนกันก็จริง
    แต่มันมักจะเป็นยูวเรย์ที่ออกมาจากมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยความคิดชั่วร้ายหรือมีความแค้นแรงกล้า
    หลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้วคงสภาพเป็นยูวเรย์ชั่วนิรันดร์ นั่นแหละที่เรียกว่าวิญญาณอาฆาตล่ะ
    มนุษย์ที่ตายแล้วตกนรกส่วนมากจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ด้วยเหตุนี้ในนรกจึงมีวิญญาณอาฆาตอยู่มากมาย
    แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอดีตขุมนรกจะยังมีวิญญาณอาฆาตเหลืออยู่ เลยคำนวณผิดจนได้......
มาริสะ : จะบอกว่าวิญญาณอาฆาตส่วนใหญ่มีความแค้นต่อมนุษย์เลยเป็นอันตรายงั้นเหรอ ? แต่มันอ่อนแอน่าดูเลยน้า
คานาโกะ : จุดที่น่ากลัวจริงๆคือการเข้าสิงมนุษย์ต่างหากล่ะ
    มันเข้าสิงแล้วก่อให้เกิดความแค้นระหว่างมนุษย์มากขึ้นน่ะ
มาริสะ : อึก แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอกว่ะ
คานาโกะ : ถึงจะบอกว่าเกนโซวเคียวสร้างขึ้นเพื่อให้ตัวตนของโยวไคคงอยู่สืบไป
    แต่ถ้าไม่มีมนุษย์ก็มิอาจคงสภาพเกนโซวเคียวเอาไว้ได้
    ถ้าไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีโยวไค
    มนุษย์หวาดกลัวโยวไค โยวไคทำร้ายมนุษย์ นี่แหละคือหลักการล่ะ
เบียคุเรน : ฉันขอโต้แย้งตรง......
คานาโกะ : ไม่รับความเห็นต่างใดๆค่ะ
    ทีนี้ ถ้ามีวิญญาณอาฆาตหลุดเข้ามาในเกนโซวเคียวแล้วจะเป็นยังไง ?
    วิญญาณอาฆาตคือวิญญาณที่เกิดจากความคิดชั่วร้ายของมนุษย์ มิใช่ของโยวไค
    หากวิญญาณอาฆาตเข้าสิงมนุษย์แล้วทำให้มนุษย์ต่อสู้กันเอง คิดว่าจะเป็นยังไงต่อไปคะ ?
มาริสะ : กลายเป็นการพนันว่าใครจะชนะล่ะมั้ง
คานาโกะ : มันไม่ใช่การประลองแบบนั้นน่ะสิ มันคือการสับสนจนไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูนะ
    ในที่สุดก็จะมีแต่มนุษย์ที่กลายเป็นศัตรูต่อกัน และผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ต่างไปจากโลกภายนอก
    เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวตนของโยวไคก็จะตกอยู่ในอันตราย จริงมั้ย ? เพราะงั้นโยวไคถึงได้กลัววิญญาณอาฆาตไงล่ะ
มาริสะ : อย่างนี้นี่เอง
คานาโกะ : เหตุผลที่กลัวยังมีอีกอย่างหนึ่ง
    นั่นคือโยวไคมีร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่มีจิตใจที่เปราะบางอย่างมาก
มาริสะ : โฮ่ งั้นเหรอ ?
เบียคุเรน : เพราะว่าร่างหลักของโยวไคไม่ใช่ร่างเนื้อ แต่เป็นจิตใจน่ะค่ะ
คานาโกะ : ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีตัวอย่างแบบนี้ก็จริง
    แต่ถ้าบังเอิญวิญญาณอาฆาตเข้าสิงโยวไคจนนิสัยของโยวไคเปลี่ยนไป จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ
เบียคุเรน : แบบนั้นก็เหมือนกับว่าโยวไคตนนั้นได้ตายไปแล้วสินะคะ
มาริสะ : เหมือนกับตายไปแล้วนั่นหมายความว่ายังไงน่ะ ? ยังไม่ตายงั้นเหรอ ?
เบียคุเรน : หมายถึง ตายในฐานะโยวไคไปแล้วน่ะค่ะ และกลายเป็นโยวไคตนอื่นแทน
มาริสะ : อะไรกัน ก็แค่ถือกำเนิดใหม่นี่นา
เบียคุเรน : ร่างหลักของโยวไคตนอื่นคือจิตใจของวิญญาณอาฆาตที่เข้ามาสิง......
    กล่าวคือ แทนที่จะเรียกว่าถือกำเนิดใหม่ น่าจะเรียกว่าวิญญาณอาฆาตได้สวมทับตัวตนของสิ่งนั้นมากกว่าค่ะ
คานาโกะ : ด้วยประการละฉะนี้ โยวไคจึงหวาดกลัววิญญาณอาฆาตไงล่ะ
มาริสะ : หวาดกลัวงั้นเหรอ แต่คนที่ทำให้วิญญาณอาฆาตผุดขึ้นมาจากใต้พิภพก็คือตัวเธอที่พยายามใช้ประโยชน์จากอดีตขุมนรกไม่ใช่เรอะ ?
คานาโกะ : ช่วยเก็บเรื่องนั้นเป็นความลับหน่อยละกัน
มาริสะ : ทุกคนเขารู้กันหมดแล้วล่ะ (ฮา)
    เอาเถอะ จดไว้ก่อนดีกว่า
    ว่า การฆ่าโยวไคสามารถทำได้อย่างรวดเร็วด้วยวิญญาณอาฆาต
คานาโกะ : จิตใจโหดเหี้ยมแบบนั้น ตายไปตกนรกจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตนะ
มาริสะ : กรี๊ด เรื่องไปนรกนี่ขอเหอะ ถ้าทำได้อยากไปสวรรค์มากกว่า
มิโกะ : อ้าว ? เมื่อกี้เธอบอกว่าไปดื่มเหล้าที่นรกเพราะยักษ์ชวนไม่ใช่เหรอ ? (ฮา)
มาริสะ : อ้อ นั่นสินะ ถ้างั้นนรกก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง






Tips :
- เนื้อหาภาค 11 บอกว่าโอคูวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเข้ามาในร่างกาย
 แต่เนื้อหาในบทนี้บอกว่าแค่สะกดจิตเท่านั้น บางทีโอคูวอาจจะรู้สึกไปเองหลังจากโดนสะกดจิตก็ได้ล่ะมั้ง ?
 ซึ่งถ้ายึดตามเนื้อหาล่าสุดนี้ก็แปลว่า คานาโกะไม่ได้เอาอีกายาตะตัวจริงมาใช้ แต่โอคูวพัฒนาตัวเองจนทัดเทียมอีกายาตะต่างหาก
 เท่ากับเป็นการคลายข้อสงสัยที่ว่า เทพเจ้าระดับคานาโกะไปเอาอีกายาตะของมหาเทพอามาเทราสึมาใช้ตามอำเภอใจได้ยังไง
- จริงอยู่ว่าภาพประกอบที่ท่าน ZUN ไม่ได้วาดเองไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้
 แต่นี่อาจจะพอบอกได้ว่าเมื่อก่อนโอคูวก็มีรูปลักษณ์แบบนี้แหละ แค่มีตาที่สามเพิ่มมาตรงหน้าอกเท่านั้นเอง
- เนื้อหาภาค 11 บอกว่าโคอิชิปิดกั้นจิตใจ แต่เนื้อหาในบทนี้บอกว่าเป็นการละทิ้ง
- แน่นอนว่าบทนี้เองก็มีคำใบ้ถึงตัวละครใหม่ในอนาคตอีกหลายจุดเช่นเคย ช่างน่าสนใจจริงๆ



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้