SoP - Article 3


東方求聞口授 ~ Symposium of Post-mysticism.
โทวโฮวกุมอนคุจุ (ใคร่รู้คำสอนแห่งตะวันออก) ~ งานประชุมสัมมนาแห่งยุคหลังความเชื่อทางศาสนา


.........................................................................................................................................................................................

บทที่ 3
อดีตและปัจจุบันของโยวไค กับโยวไคชนิดใหม่ที่แท้จริง



มิโกะ : ถ้าพูดถึงโยวไคแบบดั้งเดิมก็ต้องเทนกุและกัปปะสินะคะ
    สมัยก่อนเป็นของที่ต้องพบเจออยู่ตามภูเขาและหนองบึงอย่างแน่นอนเลยทีเดียว
มาริสะ : เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่เพียบเลยโว้ย
คานาโกะ : ก็เป็นเกนโซวเคียวนี่นะ
    ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ต่างจากเทนกุและกัปปะในอดีตไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็เถอะ
มิโกะ : ฉันตกใจมากเลยค่ะ
    ไม่นึกเลยว่าพวกเทนกุจะสร้างสังคมชั้นสูงขึ้น ส่วนพวกกัปปะก็มีอารยธรรมที่ก้าวหน้า......
    อย่างกับว่าเป็นโยวไคคนละชนิด แค่มีชื่อเหมือนกันเท่านั้นเอง
เบียคุเรน : นั่นสินะค้า
    สมัยก่อนว่ากันว่าเทนกุคือนักบวชผู้หลงผิดจนออกนอกลู่นอกทางเท่านั้นเอง
มิโกะ : ถ้างั้นเธอก็ต้องกลายเป็นเทนกุด้วยสินะ ?
เบียคุเรน : ฉันไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางนะคะ
    ฉันกลับคิดว่าคุณต่างหากที่มีตัวตนใกล้เคียงกับเทนกุมากกว่า
มิโกะ : โฮ่ ?

[อดีตและปัจจุบันของเทนกุ]

เบียคุเรน : เทนกุอาศัยอยู่บนภูเขาแล้วคอยก่อเรื่องลึกลับต่างๆนานา
    ตอนแรกเป็นแค่ตัวตนที่คอยก่อความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์เท่านั้นเองค่ะ
มิโกะ : ทำให้หินร่วงลงมา ลักพาตัวเด็ก ข่มขู่ให้หวาดกลัวด้วยเสียงที่น่าสะพรึงกลัว......
เบียคุเรน : เมื่อเกิดการเผยแผ่ศาสนาพุทธและก่อตั้งลัทธิชุเกนโดว เทนกุได้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการรับมอบศรัทธาแด่ขุนเขา
    จึงกลายเป็นตัวตนคล้ายวิญญาณภูตที่คอยช่วยเหลือหรือก่อกวนยามาบุชิ(พระ)ของชุเกนโดวที่เก็บตัวฝึกวิชาบนภูเขา
    ในมุมมองของคนทั่วไป ยามาบุชิ(*1)ที่ฝึกวิชาอย่างเข้มงวดไม่มีความแตกต่างจากเทนกุ จึงถูกเหมารวมกันไปทีละน้อย
    ด้วยเหตุนี้เหล่าเทนกุในปัจจุบันจึงมีลักษณะคล้ายยามาบุชิค่ะ
    *1 [ผู้ฝึกตนแห่งชุเกนโดว ห้อยก้อนขนฟูๆลงมาจากคอ หนึ่งในคณะดนตรีแห่งขุนเขาผู้รับหน้าที่เป่าแตรหอยสังข์]
มาริสะ : รู้ดีจังเลยนะ
เบียคุเรน : เพราะว่าฉันเชี่ยวชาญด้านโยวไคศึกษาค่ะ
    ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ยอดเยี่ยมจนถูกขนานนามว่าเป็นเซียนก็มีนะคะ ฉันคิดว่าเทนกุที่ฝึกตนจนเป็นเซียนก็ต้องมีอยู่บ้างแน่ๆค่ะ
มาริสะ : จะว่าไปแล้วพวกเทนกุในตอนนี้ก็มีคนที่คล้ายจะเป็นเซียนอยู่เหมือนกันแฮะ
เบียคุเรน : ตอนที่มนุษย์เริ่มจินตนาการว่าเทนกุมีจมูกยาวนั้นเกิดขึ้นในช่วงยุคเอโดะค่ะ
    คาดว่าเป็นเพราะติดภาพลักษณ์มาจากหน้ากากที่ยามาบุชิชอบใส่ตอนฝึกวิชาหรือจัดงานเทศกาลค่ะ
มิโกะ : เทนกุจมูกยาวก็มีอยู่ในเกนโซวเคียวนี่นา ?
    แต่รู้สึกเหมือนเห็นแต่พวกเทนกุอีกาชอบกล
คานาโกะ : เทนกุอีกาเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ควบตำแหน่งคนส่งหนังสือพิมพ์ เลยมีแต่พวกนี้ที่ลงมาถึงตีนเขาน่ะ
    แต่จริงๆแล้วยังมีเทนกุชนิดอื่นอยู่อีกมากมายในภูเขานะคะ ?
    อย่างเทนกุจมูกยาวนั่นเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการเลยไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกสักเท่าไหร่
มิโกะ : เรื่องนั้นก็แปลกๆอยู่นะ
คานาโกะ : เอ๋ ? ทำไมล่ะคะ ?
มิโกะ : ต้นกำเนิดภาพลักษณ์ของเทนกุจมูกยาวมาจากซารุตะฮิโกะ(*2)ใช่มั้ยล่ะ ?
    ถ้าพูดถึงซารุตะฮิโกะก็คือเทพแห่งการนำทาง ถูกมองว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์นักเดินทาง(*3)เลยด้วยซ้ำ
    น่าจะต้องออกมาทำงานที่ฉากหน้ามากกว่าไม่ใช่เหรอ ?
    *2 [เทพเจ้าในตำนานเทพญี่ปุ่น มีชื่อเสียงเรื่องตัวสูงจมูกยาวจึงเชื่อกันว่าเป็นหนุ่มหล่อ เสียตรงที่ตาเป็นประกายสีแดงเท่านั้น]
    *3 [เทพเจ้าที่คอยปกป้องนักเดินทางจากเทพชั่วและโรคร้าย]
    *3 [มนุษย์ส่วนใหญ่แยกไม่ออกว่าต่างจากคุณจิโซวยังไงเลยต้องมานั่งกลุ้มใจกับปัญหาเรื่องเอกลักษณ์เฉพาะตัว]
เบียคุเรน : จะว่าไปก็จริง......
คานาโกะ : รู้สึกว่างานหลักที่เทนกุจมูกยาวทำอยู่ตอนนี้คือการสร้างแผนที่นะคะ ?
    เป้าหมายในอุดมคติคือการสร้างระบบนำทางที่ใช้งานได้ดีจนสุดท้ายแล้วตัวเองไม่ต้องออกมาฉากหน้าก็ได้
    บอกว่าเป็น GPS(*4) หรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ
    *4 [Gottsui Positioning System] (อาคิวคงจำผิดหรือไม่รู้จักคำว่า Global เลยกลายเป็น โกททสึอิ ที่แปลว่า แข็ง หนา)
มิโกะ : ซารุตะฮิโกะผู้เกียจคร้านนี่เอง (ฮา)
เบียคุเรน : แหม ไม่ใช่ซารุตะฮิโกะตัวจริงสักหน่อยนี่คะ
    ถึงยังไงพวกเทนกุก็เป็นแค่พวกเลียนแบบที่ถูกมองแบบเหมารวมว่าเป็นซารุตะฮิโกะเท่านั้นเองค่ะ อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้
คานาโกะ : ต้องขอโทษซารุตะฮิโกะตัวจริงซะแล้ว
มาริสะ : งั้นก็หมายความว่าเทนกุถูกสอดแทรกภาพลักษณ์ต่างๆนานาเข้าไปจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้งั้นเหรอ ?
เบียคุเรน : ใช่......ไม่สิ มันเคยเป็นแบบนั้นจนถึงยุคเอโดะค่ะ
    แต่ตอนนี้จะเรียกว่าเป็นร่างรวมของภาพลักษณ์อันหลากหลายก็ยังไม่ถูกสักเท่าไหร่ล่ะมั้งนะ
มาริสะ : โฮ่
เบียคุเรน : เทนกุในอดีตเคยช่วยยามาบุชิฝึกวิชาและปรากฏตัวออกมาเป็นผู้นำในการจัดงานเทศกาลค่ะ
    แต่อารยธรรมที่ก้าวหน้าทำให้เรื่องราวเหล่านั้นถูกลืมเลือนไปพร้อมกับความผิดเพี้ยนของนิทานพื้นบ้าน
    พร้อมกับความเสื่อมถอยของชุเกนโดวที่เปลี่ยนไปเป็นไม่นับถือศาสนาใด พร้อมกับจิตใจที่เลิกกลัวความมืดของมนุษย์
    เทนกุที่ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์เริ่มปรากฏตัวน้อยลงเรื่อยๆ
    ด้วยเหตุนี้ความมีตัวตนของเหล่าโยวไคจึงตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงแต่เทนกุเท่านั้น โยวไคทุกตนเลย......
มิโกะ : กล่าวคือเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นั้น เกนโซวเคียวจึงกลายเป็นโลกที่ถูกแยกออกมาสินะ
เบียคุเรน : ใช่แล้วค่ะ ตอนนั้นฉันไม่อยู่ด้วยเลยไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงได้กลายเป็นแบบนี้(*5)......
    แต่เมื่อเกนโซวเคียวเปลี่ยนสภาพเป็นแบบนี้ ในที่สุดเหล่าโยวไคก็ได้รับอิสระอย่างแท้จริงจากจินตนาการของมนุษย์ที่เป็นดั่งคำสาปค่ะ
    เดิมทีพวกเขาไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่ชัด แต่ก็ได้ก้าวเดินไปสู่วิวัฒนาการอันเป็นเอกลักษณ์ของตน
    ฉันเองไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบใดมาบ้าง
    แต่ว่าเดิมทีพวกเทนกุก็เป็นโยวไคที่เข้มงวดเรื่องการแบ่งชนชั้นอยู่แล้ว เลยสร้างสังคมแบบในปัจจุบันขึ้นมาล่ะมั้งคะ
    *5 [การกำเนิดเกนโซวเคียวเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ประมาณยุคเมย์จิ(ค.ศ.1868-1912)ของโลกภายนอกเท่านั้น]
    *5 [โยวไคส่วนใหญ่ในเกนโซวเคียวมีชีวิตมาตั้งแต่ยุคนั้น แต่เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีมนุษย์คนใดรู้จักยุคสมัยดังกล่าวเลย]
มาริสะ : อย่างนี้นี่เอง
    สรุปคือโยวไคสมัยก่อนได้รับผลกระทบจากจินตนาการของมนุษย์จนเปลี่ยนรูปลักษณ์
    แต่โยวไคในปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปจนมีเอกลักษณ์แล้ว แบบนั้นใช่มะ ?
เบียคุเรน : ฉันคิดว่าเป็นแบบนั้นค่ะ ดังนั้นโยวไคในปัจจุบันจึงมีความหลากหลายสูงค่ะ

[โยวไคที่ถูกสร้างขึ้นแล้วหายไป]

มิโกะ : อืม--- เดี๋ยวก่อนสิ
    ตามที่ฉันคิดเอาไว้ โยวไคในปัจจุบันไม่น่าจะมีอยู่แค่นั้นนะคะ
มาริสะ : หมายถึง ?
มิโกะ : ปัจจุบันก็น่าจะยังมีโยวไคที่ถือกำเนิดขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์อยู่ค่ะ
    ถ้าคิดถึงโครงสร้างของโยวไคซึ่งถือกำเนิดขึ้นในฐานะวิธีการทำให้ความไม่สมเหตุสมผลเกิดข้อสรุปที่ลงตัว......
    กล่าวคือต้องมีโยวไคที่เกิดจากสมมติฐานโดยเอาจินตนาการเป็นที่ตั้งอยู่แน่ๆ
เบียคุเรน : อย่างนี้นี่เอง โยวไคที่มีตัวตนเด่นชัดทั้งที่ไม่มีตัวตน......สินะ ?
คานาโกะ : รู้ลึกเรื่องจิตใจของมนุษย์ สมกับที่เป็นคุณมิโกะเลยนะ
    แน่นอนว่ามีโยวไคแบบนั้นอยู่เช่นกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น 「โยวไคซ่อนรีโมท」
มาริสะ : โยวไคซ่อนรีโมท ?
คานาโกะ : ปรากฏการณ์ที่ไม่รู้ว่าของใช้หายไปไหนทั้งที่หยิบใช้เป็นประจำ เลยอ้างว่าเป็นฝีมือของโยวไคน่ะค่ะ

(ทุกคน) : อะไรคือรีโมท ?

คานาโกะ : อ๊ะ เอ่อ แบบว่า อุปกรณ์ขนาดเล็ก(*6)น่ะค่ะ
    ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายกว่านั้นก็อย่างเช่น โยวไคแห่งความง่วงก็มีนะคะ
    *6 [รู้สึกว่ารีโมทจะหมายถึงเกี๊ยะค่ะ ไม่น่าจะทำหายได้ง่ายๆเลยนะคะ]
    (ล้อชื่อท่า เกี๊ยะรีโมท หนึ่งในท่าไม้ตายของอสูรน้อยคิทาโร่)
เบียคุเรน : ยิ่งล่วงเวลาเข้านอนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งง่วง แบบนั้นสินะคะ ?
คานาโกะ : ใช่ โยวไคจำพวกนี้ถือกำเนิดขึ้นที่โลกภายนอกทุกวันเลยล่ะ แล้วทุกครั้งก็มาถือกำเนิดในเกนโซวเคียวด้วย
เบียคุเรน : แต่เพราะไม่มีการกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนในการรักษาตัวตน จึงจะหายไปในทันทีหลังจากที่ถือกำเนิดขึ้นมา
    การถูกลืมเพราะจุดนั้นทำให้แตกต่างจากโยวไคแบบดั้งเดิมที่วิวัฒนาการจนมีเอกลักษณ์สินะคะ
คานาโกะ : เพราะไม่ว่ายังไงก็มีแต่โยวไคที่เล่นซนอย่างไร้สาระ(*7)นั่นล่ะนะ (ฮา)
    พวกที่มีชื่อเสียงก็อย่างเช่น
    โยวไคที่ทำให้ด้านที่ทาเนยของขนมปังตกพื้นหากใครทำขนมปังร่วงจากมือ
    โยวไคที่เอาของหายไปซ่อนตรงจุดที่หาเจอได้ยากที่สุดอยู่เสมอ โยวไคที่ทำให้ตายในสงครามหากขอใครแต่งงานในสนามรบ
    *7 [ดูเหมือนโยวไคจิ๋วเหล่านี้จะถูกเรียกรวมกันว่า โยวไคแห่งเมอร์ฟี่ ค่ะ]
    (ล้อกฎของเมอร์ฟี่ "สิ่งใดก็ตามหากผิดพลาดได้ มันก็จะผิดพลาด")
มาริสะ : เดี๋ยวเดะ ฉันว่าอันสุดท้ายนั่นไม่ใช่การเล่นซนไร้สาระแล้วนะว้อย (เหงื่อตก)

[โยวไคในวัดเมียวเรนจิ]

มิโกะ : สมัยก่อนเมื่อเกิดเรื่องลึกลับที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นก็จะโทษว่าเป็นความผิดของโยวไคที่มีตัวตนอยู่แล้วค่ะ
    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าโยวไคเติบโตและเปลี่ยนแปลงซ้ำไปซ้ำมา
    หากพิจารณาดูจะพบว่าโยวไคที่อยู่ในเกนโซวเคียวตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นค่ะ
คานาโกะ : ในบรรดาโยวไคเหล่านั้น พวกโยวไคที่อยู่ในวัดของคุณยังจัดว่าเป็นโยวไคแบบดั้งเดิมสินะ ?
เบียคุเรน : นั่น...สินะคะ
    ทสึคุโมะงามิที่มีร่มเป็นร่างต้น(*8) [ทาทาระ โคกาสะ ไม่แน่ชัด]
    ผีเรือที่ขึ้นบกแล้ว(*9) [มุราสะ มินะมิทสึ โยวไคธรรมดา]
    ยามะบิโกะที่มั่นใจในพลังเสียง(*10) [คาโซะดานิ เคียวโกะ โยวไคหนวกหู]
    แล้วก็ เอ่อ--- ผู้ใช้นักพรตที่มีนักพรตร่างยักษ์(*11) [คุโมะอิ อิจิริน โยวไคธรรมดา]
    ......ที่เหลือก็------
มิโกะ : อืม---
คานาโกะ : แหม่ มีแต่โยวไคดั้งเดิมสุดๆทั้งนั้นเลยนี่นะ ?
เบียคุเรน : โชคดีจัง
มาริสะ : เรื่อง ?
เบียคุเรน : ถ้าเป็นแบบดั้งเดิม ทุกคนก็จะไม่หายไปใช่มั้ยล่ะคะ ?
มาริสะ : จริงสิ ถ้าทุกคนลืมพวกเธอจนหมดก็จะทำให้สูญสิ้นตัวตนนี่นะ ?
    หืมหืม
    เริ่มทำอาหารจากขิงญี่ปุ่นตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า(*12)
    *12 [อาหารที่น่าสะพรึงกลัวเพราะทานแล้วจะลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง อร่อยมากอย่างคาดไม่ถึง]
เบียคุเรน : บอกแล้วไงคะว่าตราบเท่าที่ยังอยู่ในเกนโซวเคียว เหล่าโยวไคแบบดั้งเดิมจะไม่หายไปง่ายๆ......
มาริสะ : ชิ
คานาโกะ : พูดถึงยามะบิโกะ ช่วงนี้เขาไปจำอะไรแปลกๆมารึเปล่า ?
เบียคุเรน : เอ๋ ?
คานาโกะ : เขาสวดมนต์เสียงดังมาจนถึงเมื่อเร็วๆนี้------ที่จริงแค่นั้นก็เดือดร้อนแล้วล่ะ
    แต่ช่วงนี้พอตกดึกจะเริ่มส่งเสียงประหลาดที่น่าพิศวงจนไม่คิดว่าจะเป็นบทสวดเลยล่ะ
เบียคุเรน : เสียงประหลาดที่น่าพิศวง......เด็กคนนั้นแค่ชอบเลียนแบบคำพูดของคนอื่นเท่านั้นเองค่ะ
    หรือว่าจะไปเลียนแบบเสียงประหลาดมาจากใครบางคน ?
คานาโกะ : ไม่รู้สิ.....เสียงเหมือนใกล้จะสิ้นใจจนทนฟังไม่ได้เลยล่ะ
มาริสะ : อ๋อ หมายถึงเคียวโกะเหรอ
    รู้สึกว่าช่วงนี้จะทำอะไรบางอย่างกับพวกโยวไคนิสัยไม่ดีทุกคืนเลยว่ะ
    เห็นบอกว่าเป็น โยวไค Punk Live (*13) อะไรทำนองเนี้ย
    *13 [ฉันเองก็ชอบมากเลยค่ะ เสียงจากจิตวิญญาณแท้ๆ]
คานาโกะ : Punk ? Live ?
เบียคุเรน : ตายจริง เด็กคนนั้น คบเพื่อนนิสัยไม่ดีอยู่สินะ
    ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนแบบนี้ถือว่าขาดคุณสมบัติในฐานะนักบวชที่กำลังฝึกตน
    ต้องลงโทษแล้วสิน้า
    แล้วโยวไคนิสัยไม่ดีพวกนั้นคือ...... ?
มาริสะ : อ๋อ นกกระจอกราตรีชื่อ มิสเทีย น่ะ
    ช่วยลงโทษยัยนั่นไปพร้อมกันเลยละกัน
    หนวกหูเป็นบ้า
    นอนไม่หลับ
เบียคุเรน : เข้าใจแล้วค่ะ
    เจอตัวคราวหน้าจะลงโทษให้หนักเลยค่ะ (ฮา)
คานาโกะ : Live...... นั่นคือการร้องเพลงนี่นา......
    น่าจะฝึกการออกเสียงให้มากกว่านี้หน่อยน้า
    แบบนั้นผู้ฟังหนีกันหมดแหงๆ
มิโกะ : ไหงเป็นปัญหาเรื่องนั้น !?
เบียคุเรน : นั่นสิน้า การออกเสียงและจับทำนองก็สำคัญต่อการสวดมนต์เหมือนกัน
    พระสูตรทำให้รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะคะ ? เรื่องนั้นก็ต้องฝึกฝนอย่างเพียงพอเหมือนกัน
มาริสะ : ท่าทางคราวหน้าจะกลายเป็น พระสูตรโยวไค Live แฮะ (เหงื่อตก)

[โยวไคฝึกตนได้ด้วยเหรอ]

มิโกะ : ฉันสงสัยมานานแล้วล่ะ พวกโยวไคในวัดเมียวเรนจิกำลังฝึกตนแบบไหนกันอยู่เหรอ ?
เบียคุเรน : เอ่อ ก็ฝึก 6 แขนงตามหลักบารมี 6 ซึ่งเป็นพื้นฐานของศาสนาพุทธค่ะ......
มิโกะ : อ๊ะ ฉันรู้จัก ฉันรู้จัก ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ......เอ่อ
เบียคุเรน : ที่เหลือคือ ญาณและปัญญาค่ะ
    จะว่าไปแล้วเมื่อสมัยก่อนคุณมิโกะเคยศึกษาศาสนาพุทธสินะคะ
มิโกะ : แค่ฉากหน้าเท่านั้นเอง แต่แหม ศาสนาพุทธนี่เหมาะสำหรับการเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่สุดเลย---
เบียคุเรน : ......เรื่องนั้นเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันทีหลังค่ะ
มาริสะ : อธิบายให้ฟังสักหน่อยไม่ได้เหรอ ? อะไรสักอย่าง 6 นั่นน่ะ
เบียคุเรน : บารมี 6 สินะคะ
    「ทาน」 หมายถึงการให้ค่ะ
มาริสะ : แต่ฉันไม่เคยได้อะไรจากพวกโยวไคในวัดเลยนะ ?
เบียคุเรน : เกี่ยวกับเรื่องนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า อภัยทาน ซึ่งหมายถึงการให้ชีวิตที่ไม่ต้องหวาดกลัว
    เหล่าโยวไคในวัดของฉันกำลังฝึกอยู่ค่ะ
มาริสะ : แต่ก่อนหน้านี้ฉันโดนยิงใส่อย่างอลังการเลยล่ะ
เบียคุเรน : แหม ก็กำลังฝึกอยู่นี่คะ ช่วยรอนิดนึง......
    ต่อไปคือ 「ศีล」 หมายถึงการไม่ฆ่า ไม่ลักขโมย ไม่มั่วกาม ไม่โกหก และไม่ดื่มเหล้าค่ะ
มาริสะ : แต่ก่อนหน้านี้ฉันโดนยิงใส่ด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยมเลยนะ
เบียคุเรน : ......「ขันติ」 หมายถึงการอดทนต่อความเจ็บปวดหรือการดูหมิ่นที่ได้รับจากผู้อื่น
    「วิริยะ」 หมายถึงความพยายามในการฝึกตนอย่างต่อเนื่อง
มาริสะ : เรื่องนั้นทุกคนก็กำลังทำอยู่โว้ย ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็เถอะ
เบียคุเรน : 「ญาณ」 หมายถึงการกำหนดจิตใจ ตัดความลุ่มหลง
    และ 「ปัญญา」 หมายถึงการมองให้ถึงแก่นแท้
คานาโกะ : สองอย่างหลังนี่ค่อนข้างเป็นนามธรรมนะ
เบียคุเรน : เวลาพูดถึงการฝึกตน ทุกคนมักจะนึกถึงแต่การนั่งสมาธิหรือต้านน้ำตก
    แต่การฝึกตนที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดในบรรดานั้นก็คือสองอย่างหลังนี่ล่ะค่ะ
มาริสะ : ดูไม่ออกเลยนะว่ายัยพวกนั้นกำลังฝึกอะไรแบบนี้อยู่
    รู้สึกเหมือนเห็นทุกคนในงานเลี้ยงบ่อยกว่าซะอีกว่ะ
    จำได้ว่าทานเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าด้วยนะ......
เบียคุเรน : เอาไปเก็บไว้ในซอกหลืบของสมองกันดีกว่าค่ะ
มิโกะ : นั่นสิน้า ฉันเองก็เคยเห็นนักพรตในงานเลี้ยง
    ตนอื่นก็อย่างเช่น ผีร่มที่เอากะโหลกมาหมุนเล่นบนร่ม
คานาโกะ : หรืออย่างผีเรือที่เอาน้ำไปเทใส่เรือข้ามแม่น้ำซันสึ
เบียคุเรน : เอ๋ ? ไปทำอะไรกันโดยที่ฉันไม่รู้เนี่ย...... ?
มาริสะ : กะแล้วว่ายังไงโยวไคก็เป็นโยวไคอยู่วันยังค่ำ



(เหนือศีรษะเบียคุเรน = เอ๋... ? // มุราสะ = จม (Dobaba = เสียงเทน้ำ ซ่าซ่า) (ข้างศีรษะมุราสะ UHU = เสียงหัวเราะ อุฮุ))
(อิจิริน = เหล้า // โคกาสะ = หมุนหมุน (Cyarin Cyarin = เสียงเหรียญกระทบพื้น กริ๊งกริ๊ง))

[โยวไคที่ถูกปฏิเสธการรับเป็นศิษย์]

มิโกะ : นี่นี่ เมื่อกี้เธอบอกว่าโยวไคที่มาขอเป็นศิษย์วัดต้องไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นสินะ
    แต่แบบนั้นพวกโยวไคจะไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปเหรอ ?
เบียคุเรน : จะเป็นอย่างนั้นเหรอ ?
มิโกะ : ก็แหม พวกโยวไคส่วนใหญ่ถือกำเนิดมาในฐานะศัตรูของมนุษย์นี่นา ถ้าพยายามไม่ก่อความเดือดร้อนก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตเลยน่ะสิ
เบียคุเรน : อืม--- การก้าวข้ามสิ่งนั้นคือความหมายของการฝึกตนค่ะ......แต่ก็จริงที่มีโยวไคบางตนไม่สามารถข้ามไปได้
    เมื่อเร็วๆนี้ก็มีโยวไคที่ถูกปฏิเสธการรับเป็นศิษย์ค่ะ......
มาริสะ : โฮ่ เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย
    ไม่ใช่ว่าเป็นโยวไคแบบไหนก็ OK สินะ
    แล้วเป็นใครจากที่ไหนล่ะนั่น ?
เบียคุเรน : คุณแมงมุมดิน คุโระดานิ ยามาเมะ กับคุณคาชา โอริน(*14) แล้วก็เหล่าโยวไคที่มาจากใต้พิภพน่ะค่ะ
    *14 [คาเอนเบียว ริน แมวแห่งลางร้าย]
คานาโกะ : เอ๋ ? โยวไคที่อยู่ในวัดของคุณส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่อยู่ใต้พิภพไม่ใช่เหรอคะ ?
เบียคุเรน : มันก็ใช่ค่ะ แต่พวกเขาเป็นผู้ที่ถูกผนึกด้วยเหตุผลอันไม่ควร......
    อันที่จริงแล้วเป็นโยวไคที่สมควรได้อยู่บนพื้นพิภพ ไม่ใช่โยวไคที่ต้องไปอยู่ใต้พิภพค่ะ
คานาโกะ : ตอนนี้โยวไคที่อยู่ใต้พิภพส่วนใหญ่คือพวกที่ปรารถนาจะอยู่ใต้พิภพค่ะ
    พวกเขากำลังสนุกกับชีวิตไร้กฎเกณฑ์ในอดีตขุมนรกที่ไร้การควบคุม ซึ่งต่างจากเกนโซวเคียวเบื้องหน้าที่มีกฎชัดเจน
    กล่าวได้ว่าเป็นโลกที่พลังคือความถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่น่าจะเข้ากับโยวไคในวัดที่มีกฎในระดับหนึ่งได้หรอกค่ะ
มาริสะ : พลังคือความถูกต้อง......อารมณ์นั้นเลยจริงๆนั่นล่ะน้า ใต้พิภพน่ะรับมือยากน่าดู
เบียคุเรน : คุณแมงมุมดิน ยามาเมะ ที่พูดถึงเมื่อกี้ให้เหตุผลในการขอเป็นศิษย์ว่า 「มนุษย์ที่มาวัดเพราะกลุ้มใจน่ะน่าอร่อยดี(*15)
    ส่วนคุณโอรินบอกว่า 「ในวัดมีสุสานเต็มไปหมดจนเหมือนสวรรค์แห่งซากศพเลย」
    แบบนี้ไม่มีทางอื่นนอกจากปฏิเสธแล้วล่ะค่ะ (ฮา)
    *15 [การทำให้มนุษย์ป่วยแล้วค่อยกินนั้นมีความหมายอยู่ เพราะโรคเป็นเครื่องปรุงรสนั่นเอง โดยการป่วยทางใจมีรสเผ็ด]
มิโกะ : นั่นสินะค้า (ฮา)






Tips :
- บารมี 6 เป็นหลักตามพระสูตรมหายาน ประกอบด้วย ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ญาณ ปัญญา
 นิกายหินยานแบบของไทยเป็นบารมี 10 ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้