SoP - Article 5


東方求聞口授 ~ Symposium of Post-mysticism.
โทวโฮวกุมอนคุจุ (ใคร่รู้คำสอนแห่งตะวันออก) ~ งานประชุมสัมมนาแห่งยุคหลังความเชื่อทางศาสนา


.........................................................................................................................................................................................

บทที่ 5
ศาสนาและศรัทธาจำเป็นต่อเกนโซวเคียวงั้นหรือ



มาริสะ : เทียบกับใต้พิภพแล้วเกนโซวเคียวเป็นสถานที่ที่สงบสุขดีทีเดียวเลยแฮะ
เบียคุเรน : สงบสุข... งั้นเหรอ
คานาโกะ : ความเป็นจริงที่มองแวบแรกแล้วคิดว่าสงบสุขสวยงามน่ะ มักจะมีบางสิ่งที่โหดร้ายเจือปนอยู่นะ
    แต่ก็เหมาะเหม็งสำหรับการรวบรวมศรัทธาพอดี
มิโกะ : ถึงจะบอกว่าสงบสุข แต่ฉันคิดว่าการที่ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตโดยหวาดกลัวโยวไคอย่างไม่จบไม่สิ้นแบบนี้ไม่สนุกเท่าไหร่นะ
    พวกโยวไคเองก็ทะเลาะกันเองในหมู่โยวไคอย่างไม่จบไม่สิ้นเหมือนกัน
    และก็ไม่แน่เสมอไปว่าจากนี้ไปจะไม่มีตัวตนที่ทำลายสมดุลไปมากกว่านี้ปรากฏตัวขึ้นด้วย......
มาริสะ : ที่พูดมานั่นก็คือพวกเธอไม่ใช่เรอะ ?
คานาโกะ : เราคงทำอะไรกับส่วนที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้หรอก
    การคงอยู่ของเกนโซวเคียวขึ้นอยู่กับโลกภายนอกเสียด้วยสิ
มิโกะ : แต่ถ้ามีแค่มนุษย์คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก
    เพราะมนุษย์เป็นตัวตนที่พิเศษสำหรับเกนโซวเคียว------
มาริสะ : ตัวตนที่พิเศษ ?
มิโกะ : ก็มันเป็นอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ ?
    เหล่าโยวไคคือตัวตนที่ถูกลืมโดยโลกภายนอกจนกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
    แต่มนุษย์ยังคงเป็นตัวตนแบบเดียวกับโลกภายนอก
    กล่าวคือ มนุษย์เป็นตัวตนที่มีอยู่เพียงเพื่อให้กำเนิดโยวไคเท่านั้น......
    สำหรับมนุษย์ก็คงเทียบได้กับสัตว์ป่าหรือปลานั่นล่ะ
คานาโกะ : พูดเหมือนกับว่าเป็นแค่อาหารเลยนะ แต่ถ้าไม่มีสัตว์ป่าหรือปลา มนุษย์ก็จะเดือดร้อน เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน
    ยกตัวอย่างเช่นฉันเอง ถ้าไม่ได้รับศรัทธาจากมนุษย์ก็ไม่สามารถแสดงพลังได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งศรัทธาจึงต้องคอยช่วยเหลือมนุษย์
    เลยกลายเป็นความสัมพันธ์แบบผู้ให้และผู้ถูกให้
    เพราะงั้นต่อให้เหล่าโยวไคก่อสงครามระหว่างกันก็ไม่น่าจะทำให้มนุษย์หายไปหรอก
มิโกะ : กล่าวคือมนุษย์เป็นผู้ไร้พลัง แต่ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัด ถ้าตีความในแง่นั้นก็คงจะสบายใจได้ล่ะมั้ง
มาริสะ : อ้าว ? ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้เธอบอกว่ามนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการหวาดกลัวโยวไคหรอกเหรอ ?
    แถมยังได้ยินอยู่บ่อยๆว่ามีคนถูกโยวไคลักพาตัวหรือทำร้ายร่างกายด้วยนะ
มิโกะ : ที่บอกว่าไม่มีความเสี่ยงนั่นหมายถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ค่ะ ไม่ได้หมายถึงมนุษย์แต่ละคน
    สุดท้ายแล้วแต่ละคนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวล่ะนะ
มาริสะ : อะไรวะนั่น ไม่เห็นจะสบายใจได้ตรงไหนเลย
มิโกะ : พวกที่คิดแบบนั้นมีแค่มนุษย์กับโยวไคบางส่วนเท่านั้น
    โยวไคส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อการถูกโจมตีหรือถูกโค่นล้มเลยนะคะ
คานาโกะ : จริงเหรอ ?
มิโกะ : ต่อให้ถูกฆ่าก็แค่คืนชีพมาอีกครั้งก็พอ หากไม่ต้องการแบบนั้นก็กลายเป็นยูวเรย์(ผี)ไปเสียก็ได้ น่าจะคิดกันประมาณนี้ค่ะ
    สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือการถูกปฏิเสธตัวตนอย่างสมบูรณ์ค่ะ
เบียคุเรน : ถ้าแค่ในแง่ของการมีชีวิตรอดต่อไปก็คงจะเป็นไปตามนั้นค่ะ......
    แต่การถูกจดจำว่าเป็นโยวไคผู้พ่ายแพ้นั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยนะคะ......
มิโกะ : เหรอ ? แต่ก็ยังดีกว่าตายแล้วหายไปเลยแบบมนุษย์นะ
เบียคุเรน : ฉันกำลังเผยแผ่ศาสนาพุทธให้แก่โยวไคเพื่อไม่ให้ตายแล้วหายไปค่ะ
มิโกะ : เห

[ศาสนาพุทธโยวไค]

เบียคุเรน : ในโลกของศาสนาพุทธนั้น ต่อให้มนุษย์ตายแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายไปเลยค่ะ
    หากสอนวิธีคิดแบบนั้นให้แก่โยวไค ต่อให้ถูกผู้คนลืมเลือนก็จะคงสภาพตัวตนของตนเองได้ดีขึ้นค่ะ
มิโกะ : อย่างนี้นี่เอง เพราะงั้นที่วัดของเธอเลยมีแต่พวกโยวไครุ่นโบราณสินะ
เบียคุเรน : ว่าไงนะคะ ?
มิโกะ : พูดตามตรง ฉันคิดว่าศาสนาพุทธเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น
    แก้ไขความว้าวุ่นในจิตใจของผู้คน สอนว่าการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างคือการฝึกตน
    จะเรียกว่านักปกครองได้ประโยชน์ล้วนๆก็มิใช่การพูดเกินไปแต่อย่างใด
    จากมุมมองของฉัน การเผยแผ่ศาสนาพุทธให้แก่โยวไคเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี เหมือนกับเด็กเล่นขายของยังไงยังงั้น
เบียคุเรน : ศาสนาพุทธสอนให้ปฏิเสธตัวตนของตนเองแล้วยอมรับตัวตนของตนเองอีกครั้ง ว่าไปแล้วก็คือปรัชญาค่ะ
    ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าเหล่าโยวไคซึ่งไม่มีร่างเนื้อและจิตใจที่มั่นคงนี่แหละที่จะร่ำเรียนและเข้าใจปรัชญานี้ได้ง่าย ?
    ผลลัพธ์คือทั้งมนุษย์และโยวไคต่างมองเห็นอนาคตที่ดี ถ้าแค่นี้ยังคิดไม่ได้ก็น่าเสียดายนะคะ
    การที่เอาศาสนาพุทธไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเดียวนั่นแหละคือหลักฐานว่าผู้ที่นำไปใช้ยังอ่อนหัด
คานาโกะ : แต่ก็มีเรื่องราวที่ว่าโยวไคโผล่มาในวัดอยู่บ่อยๆนะ
    อย่างเช่น การร้องเล่นเต้นรำของพวกทานุกิแห่งวัดโชวโจวจิ(*1) หรืออย่าง หม้อต้มน้ำชาเดือดปุดปุดแห่งวัดโมรินจิ(*2)
    *1 [เรื่องของทานุกิผู้มีพลังทำลายสูงส่งที่ตีท้องตัวเองจนท้องแตก]
    *2 [เรื่องของทานุกิผู้มีพลังป้องกันสูงส่งที่อดทนแปลงร่างเป็นหม้อต้มน้ำชาได้เพียงครึ่งทาง]
เบียคุเรน : ทำไมเจาะจงเลือกแต่เรื่องทานุกิมาล่ะคะ ?
    แต่ก็จริงที่ว่าวัดของฉันมีปิศาจทานุกิอาศัยอยู่เหมือนกัน
คานาโกะ : ทานุกิกับวัดเนี่ยเข้ากันได้ดีชอบกลเลยน้า
    เป็นเพราะมักจะสร้างวัดอยู่กลางป่ารึเปล่านะ ?
เบียคุเรน : ถ้าพูดแบบนั้น งั้นทางศาลเจ้าก็ต้องคู่กับจิ้งจอกสินะ
มาริสะ : ส่วนสถานปฏิบัติธรรมของเต๋าก็ต้องคู่กับซอมบี้
มิโกะ : เจียงซือ(ผีดิบจีน)ค่ะ ไม่ใช่ซอมบี้ เอ๊ย ไม่ใช่สิ นึกอะไรที่เป็นสัตว์มากกว่านี้ไม่ออกแล้วเหรอ ?

(ทุกคน) : (ฮา)

[บิชามอนเทนแห่งวัดเมียวเรนจิ]

คานาโกะ : จะว่าไปแล้วในวัดของเธอมีโยวไคที่บรรยากาศแตกต่างจากนักบวชคนอื่นอยู่นี่น้า
    ฉันสงสัยมาตลอดเลยล่ะ
เบียคุเรน : ใครเหรอคะ ?
คานาโกะ : นั่นไง คนที่คล้ายกับพระพุทธรูปน่ะ
เบียคุเรน : โทระมารุ โชว สินะคะ ?
    เป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอแตกต่างจากโยวไคตนอื่นค่ะ
    แต่อันที่จริงตอนแรกสุดเธอเป็นแค่เสือธรรมดานะคะ
คานาโกะ : เสือธรรมดา ? ไม่ใช่โยวไคเหรอ ?
เบียคุเรน : เรียกว่าเสือธรรมดาก็คงจะแปลกสักหน่อย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าในญี่ปุ่นไม่มีเสืออาศัยอยู่
    ตอนที่มีการเผยแพร่ความรู้จากแผ่นดินใหญ่ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเสือก็เป็นแค่คำพูดที่ถ่ายทอดกันมาเท่านั้น
    ทุกคนต่างพากันจินตนาการว่าเสือมีรูปร่างอย่างไร ผลที่ได้คือการทำให้โชวถือกำเนิดขึ้นค่ะ
มาริสะ : งั้นก็ไม่ใช่เสือธรรมดาน่ะสิ
เบียคุเรน : อะแฮ่ม
    แต่ว่าเธอไม่ใช่โยวไคที่มีชื่อประจำกายค่ะ
    ดังนั้นจึงอยู่ในสภาพที่จะหายไปตอนไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
    แต่ฉันได้ทำการขอร้องให้เธอช่วยเฝ้าวัดให้ในช่วงที่ฉันกับท่านบิชามอนเทนไม่อยู่วัด ตัวตนของเธอเลยมั่นคงขึ้นมาค่ะ
มิโกะ : ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่หลักๆก็แค่ฝากให้เฝ้าวัดนี่นา ?
เบียคุเรน : แหม มันก็ใช่ค่ะ......
    แต่ภายหลังเธอกลายเป็นอวตารแห่งบิชามอนเทนและกลายเป็นตัวตนที่คอยรวบรวมศรัทธาด้วย......
    ดังนั้นถ้าให้พูดตรงๆเลยก็คือ เธอจัดอยู่ในจำพวกเดียวกับคุณคานาโกะค่ะ
คานาโกะ : เป็นแบบนั้นจริงๆด้วยสินะ
    เพราะว่าฉันได้กลิ่นของศัตรูทางการค้าซึ่งต่างจากพวกโยวไคที่แค่ฝึกตนอย่างเดียว......
มิโกะ : ความรู้สึกไวต่อศรัทธาสินะ......
    เท่ากับว่านั่นคืออวตารแห่งบิชามอนเทนงั้นสิน้า
    เปลี่ยนไปเยอะน่าดูเลยน้า(*3)
    *3 [เมื่อนานมาแล้วมิโกะเคยศรัทธาบิชามอนเทน]
    *3 [ปัจจุบันเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพแห่งโชคลาภผู้นำมาซึ่งความมั่งคั่ง แต่สมัยนั้นเป็นเทพแห่งการปกป้องประเทศและชัยชนะในสงคราม]
คานาโกะ : เพราะว่าเป็นเทพแห่งโชคลาภทั้งเจ็ดน่ะค่ะ
    แบบนี้ฉันคงต้องระวังเอาไว้ให้ดีแล้วล่ะมั้ง
เบียคุเรน : จะว่าไปแล้ว เดชานุภาพ(*4)ของคุณคานาโกะคืออะไรเหรอคะ ?
    *4 [งานของเทพเจ้า ซึ่งผลของงานดังกล่าวก็คืออานิสงส์]

[เทพแห่งยาซากะ]

คานาโกะ : ฉะ.. ฉัน ? เอ่อ--- ฉันเป็นเทพแห่งขุนผาก็เลยเป็นการสร้างภูมิประเทศน่ะ
เบียคุเรน : คลุมเครือจังเลยนะคะ
คานาโกะ : เทพต่างจากโยวไคตรงที่นึกอยากจะเปลี่ยนคุณลักษณะของตัวเองเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนได้เลยน่ะค่ะ
    เรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนคุณลักษณะนั้นเรียกว่า 『เทวตำนาน』 ซึ่งสามารถใช้เปลี่ยนคุณลักษณะได้อย่างอิสระค่ะ
    ตอนนี้อยู่ในระหว่างการสร้างเทวตำนานร่วมกับมนุษย์และโยวไคในเกนโซวเคียว
    เพราะตัวตนในฐานะเทพแห่งขุนผานั้นรวบรวมศรัทธาได้ยาก เลยกำลังพยายามเปลี่ยนเป็นเทพแห่งนวัตกรรมอย่างช้าๆอยู่ค่ะ
มิโกะ : เทพเจ้าสามารถเปลี่ยนเดชานุภาพได้ง่ายๆขนาดนั้นเลยแฮะ
คานาโกะ : แหม ก็ต้องระดับฉันนี่ล่ะนะ
มิโกะ : แปลว่าแค่เลือกเดชานุภาพที่รวบรวมศรัทธาได้ง่ายขึ้นก็พอเหรอคะ ?
    ถ้ามีอานิสงส์ประมาณว่า ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้(*5)ล่ะก็ ทุกคนคงศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยล่ะ แน่ๆเลย
    *5 [ฟังดูเหมือนอานิสงส์สำหรับพวกนีทเลยนะคะ]
    (NEET (Not in Education, Employment, or Training) พวกที่ไม่ทำงาน ไม่ฝึกงาน ไม่เรียน อยู่ไปวันๆโดยไม่ก่อประโยชน์ใดๆ)
คานาโกะ : อานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องทำงานหนักเป็นการแลกเปลี่ยนค่ะ
    อีกอย่าง......เรื่องที่ฉันทำไม่ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้ค่ะ
มิโกะ : นั่นสินะค้า---
คานาโกะ : แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ขอแค่มีศรัทธาก็อาจทำให้เป็นจริงได้ค่ะ
    คล้ายกับมิโกะโยวไคที่ไหนสักแห่ง
มิโกะ : มิโกะโยวไค ?
คานาโกะ : เดินไปตามถนนแล้วป่าวประกาศว่า โยวไคโผล่มาแล้ว จากนั้นก็กลับไปที่ศาลเจ้าเพื่อรับงานกำราบโยวไคน่ะ(*6)
    *6 [เรียกกันว่า Match Pomp หมายถึงการที่มือข้างหนึ่งใช้ไม้ขีดจุดไฟ ส่วนมืออีกข้างใช้เครื่องสูบน้ำดับไฟ]
    (Match (อังกฤษ) ไม้ขีด + Pomp (ฮอลันดา) เครื่องสูบน้ำ)
    (Match Pomp เป็นศัพท์ที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้น หมายถึงการก่อเรื่องเอง แก้ไขเอง แล้วอ้างว่าเป็นความดีความชอบของตัวเอง)
เบียคุเรน : แบบนั้นมันเหมือนกับมิโกะแห่งศาลเจ้าฮาคุเรย์เลยนะคะ ?
คานาโกะ : แต่เอาเถอะ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นมนุษย์ที่ฉลาดขนาดนั้นนะ
    อีกอย่าง ต่อให้บอกว่ามิโกะรวบรวมศรัทธา ยังไงก็เป็นแค่มนุษย์ ถึงรวบรวมศรัทธาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
    อย่างมากก็แค่ทำงานเพื่อเบี้ยหวัดอันน้อยนิดเท่านั้นเอง
มิโกะ : รวบรวมศรัทธาโดยการกำราบโยวไคเพื่อรับเงินบริจาคไว้ใช้หาเช้ากินค่ำเท่านั้นเองสินะ
คานาโกะ : ใช่แล้ว แต่หากรวบรวมศรัทธาได้อย่างมหาศาล บางทีอาจกลายเป็นตัวตนคล้ายเทพก็ได้......
เบียคุเรน : แต่สำหรับตอนนี้ ถ้าให้บอกว่าคล้ายอะไร ฉันมองแล้วคงตอบว่าคล้ายกับโยวไคมากกว่านะคะ (ฮา)

[ความแตกต่างระหว่างเทพกับโยวไค]

มาริสะ : จะว่าไปแล้ว เทพกับโยวไคต่างกันตรงไหนน่ะ ?
คานาโกะ : กรณีที่มองจากมุมของชินโต เทพคือแก่นแท้ที่สิงอยู่ในวัตถุทุกชนิดค่ะ
    เทพจึงเป็นธรรมชาติหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อค่ะ
เบียคุเรน : ไม่ขัดแย้งกับตัวคุณที่มีชื่อแล้วเหรอคะ ?
คานาโกะ : พลังจะถูกจำกัดเมื่อเทพได้รับการตั้งชื่อ แต่ก็ทำให้มีความเป็นตัวของตัวเองค่ะ
    แม้ว่าจะสูญเสียพลังในการสิงสถิตสิ่งต่างๆไปจึงแทบจะไม่ต่างจากโยวไค......
    แต่ในทางกลับกันก็ได้ความสามารถในการกำเนิดใหม่ผ่านทางเทวตำนานค่ะ
เบียคุเรน : สรุปคือ เทพเป็นโยวไคที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปตามเทวตำนานเหรอคะ
คานาโกะ : แต่หากสูญเสียศรัทธาก็จะกลับไปเป็นตัวตนดั้งเดิมค่ะ
    กรณีของโยวไคถ้าถูกลืมก็จะหายไป......แต่เรื่องนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการสร้างความวุ่นวายและความหวาดกลัว
    ในขณะที่ความศรัทธาไม่สามารถทำแบบนั้นได้
    หากเอาแต่ข่มขู่ให้หวาดกลัวก็จะสูญเสียศรัทธาไป แล้วกลายเป็นเพียงโยวไคธรรมดาค่ะ
มาริสะ : จะว่าไปแล้วฉันเคยเจอเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วยล่ะ แต่ยัยพวกนั้นไม่ต่างจากโยวไคเลยว่ะ
คานาโกะ : เทพเจ้าเร่ร่อนที่ไม่มีแม้แต่ศาลเจ้า(*7)ส่วนใหญ่จะกลายเป็นโยวไคค่ะ
    เพราะว่าการรวบรวมศรัทธาเป็นเรื่องยากนั่นล่ะนะ ว่าแต่เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์นั่นคือใครเหรอ ?
    *7 [สูญเสียศรัทธาจนกลายเป็นเทพเจ้าเถื่อน]
มาริสะ : เอ่อ อาคิ มิโนริโกะ ล่ะมั้ง
คานาโกะ : อ้อ เทพเจ้าเถื่อนคนนั้นเองสินะ......
    จำได้ว่ามีพี่สาวเป็นเทพแห่งใบไม้เปลี่ยนสี(*8)อยู่ด้วย
    แต่ว่ากันตามตรง เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มีชื่อเสียงน่ะมีอยู่มากมายเลย อย่างเช่น อุคาโนะมิทามะ......
    ศรัทธาทั้งหมดคงโดนชิงไปทางอุคาโนะมิทามะล่ะมั้ง
    เทพแห่งใบไม้เปลี่ยนสียังจัดว่ามีคู่แข่งน้อยกว่า น่าจะรวบรวมศรัทธาได้ง่ายกว่านะ
    ถ้าผสานใบไม้ร่วงกับหัวมันให้กลายเป็นเหล่าเทพแห่งมันเผาแล้วเอาไปเร่ขายหาศรัทธา(*9)ในหมู่บ้านมนุษย์น่าจะได้ผลอยู่นะ
    *8 [อาคิ ชิซึฮะ หากโกรธจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน]
    *9 [......ศรัทธา ? หรือว่าค่าขนม ?]
มาริสะ : งั้นหรอกเหรอ
    ถ้ายัยพวกนั้นรู้เข้าต้องดีใจแน่เลยว่ะ
    เพราะฤดูหนาวมาเยือนจนห่อเหี่ยวไปหมดอีกแล้ว
เบียคุเรน : ท่าทางจะมีเทพเจ้าเถื่อนองค์อื่นๆอยู่อีกเยอะเลยนะ
คานาโกะ : เพราะว่ามนุษย์ในช่วงนี้ชอบมักง่ายตั้งชื่อให้เทพเจ้าและไม่มอบศรัทธาให้น่ะน้า
เบียคุเรน : คล้ายกับเรื่องโยวไคที่คุยกันก่อนหน้านี้เลยนะคะ
คานาโกะ : พวกมนุษย์กลายเป็นคนขี้เบื่อไปแล้วล่ะมั้งนะ
    อีกเรื่องที่ฉันสงสัยก็คือเรื่องของคุณมิโกะน่ะ......คุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่คะ ?



(กลางบน = 芋売 ขายมัน // ขวาบน = 焼焼 เผาเผา // กลางและขวา = PATA PATA พั่บพั่บ (เสียงพัด))
(บนพัด = うちわ (พัด) // บนหัวมัน = 芋 (IMO) หัวมัน // ใต้หัวมัน = 石焼 (เผาด้วยหินร้อน))
(ซ้ายสุดข้างศีรษะชิซึฮะ = 静 (ชิซึ) // ตรงกลางข้างแขนมิโนริโกะ = 穣 (มิโนริ))

[ลัทธิเต๋ากับเซียน]

มิโกะ : เอ๋ ? จุดประสงค์อะไรงั้นเหรอ ?
คานาโกะ : อยากทำอะไรหลังจากที่ได้พลังเหนือมนุษย์มาแล้วงั้นเหรอ
    เมื่อกี้บอกว่าอยากเป็นนักปกครอง แสดงว่าอยากปกครองมนุษย์งั้นเหรอคะ ?
มิโกะ : อ่า---เปล่าหรอก ที่บอกว่าอยากเป็นนักปกครองน่ะ เพราะคิดว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้แล้วเกนโซวเคียวอาจจะพังทลายลงก็ได้น่ะค่ะ
    แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วไม่เป็นไร......ฉันก็ไม่คิดจะฝืนลงมือหรอกค่ะ
    ตอนนี้ฉันกำลังฝึกตนเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่จะค้นหา เต๋า ซึ่งเป็นสัจธรรมแห่งอวกาศค่ะ
คานาโกะ : เต๋าคือสัจธรรมงั้นเหรอคะ ?
มิโกะ : ใช่แล้ว การล่วงรู้ถึงสิ่งนั้นเพื่อเพิ่มพูนพลังของตนเองคือแนวคิดพื้นฐานของลัทธิเต๋าค่ะ
    เมื่อมนุษย์ได้รับพลังจนถึงระดับหนึ่งจะถูกเรียกว่า เซียน
    ส่วนฉันยังคงฝึกตนต่อไปเพื่อความไม่แก่ไม่ตาย โดยตั้งเป้าไว้ที่การได้เป็นเทวดาค่ะ
มาริสะ : เทวดา งั้นสิน้า
    ฉันเคยไปที่สวรรค์อยู่หรอก แต่ไม่ใช่ที่ที่ดีสักเท่าไหร่เลยว่ะ
มิโกะ : เอ๋ ? เคยไปด้วยเหรอคะ ?
มาริสะ : นิดหน่อยน่ะ
มิโกะ : น่าอิจฉาจังเลยนะคะ ฉันเองก็ฝึกตนโดยตั้งเป้าให้ถึงจุดนั้นบ้างดีกว่า

[เซียนมารปรากฏ]

เบียคุเรน : จะว่าไปแล้ว เซียนที่โผล่มาพร้อมกับคุณมิโกะชื่อ คาคุ เซย์กะ (ฮั่วชิงเอ๋อ) ใช่มั้ยคะ ?
    ฉันรู้สึกได้ถึงจิตชั่วร้ายที่แรงกล้าเป็นอย่างยิ่งจากเธอ ไม่ทราบว่าเธอคือ...... ?
มิโกะ : ผู้ที่สอนวิชาเต๋าให้แก่ฉัน พูดง่ายๆคืออาจารย์น่ะค่ะ
เบียคุเรน : เซียนที่ปั่นป่วนกระแสของธรรมชาติด้วยการควบคุมศพตามอำเภอใจ ฉันรู้สึกรับไม่ได้นิดหน่อยค่ะ......
มิโกะ : ไม่ว่ายังไงเต๋าก็คือสัจธรรมแห่งอวกาศค่ะ
    เต๋าไม่ได้สอนว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้ถึงขั้นไหน
    หากใช้ประโยชน์โดยคิดชั่วก็คือชั่ว หากใช้ประโยชน์โดยคิดดีก็คือดี
    เซย์กะสอนเรื่องนั้นแก่ฉันผ่านการกระทำของเธอค่ะ
เบียคุเรน : จะบอกว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนเหรอคะ ?
    ตอนที่ฉันได้พลังมา ฉันรู้สึกเพียงว่าร่างกายได้ถูกทำลายลงด้วยแรงปรารถนา
    เรื่องนั้นแต่ละคนย่อมรู้ได้เมื่อร่างกายถูกย้อมด้วยพลัง แต่คุณกลับคิดต่างออกไปสินะคะ
มิโกะ : ความปรารถนาคือส่วนหนึ่งของร่างกาย นั่นคือสัจธรรมที่ตัดยังไงก็ไม่ขาดค่ะ
    พระหนังเหี่ยวที่แค่ได้สวดมนต์ก็พอใจแล้วคงไม่เข้าใจเรื่องนั้นสินะคะ
เบียคุเรน : ว่ากันตามจริง ตอนนี้คุณเซย์กะก่อเรื่องไปทั่วเลยนะคะ
    ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้นอาจถูกทำลายด้วยน้ำมือของใครสักคนก็ได้
    บางทีอาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นฉันเอง......
มาริสะ : มันก็จริงนะ
    เมื่อเร็วๆนี้ก็ลอบเข้าไปในบ้านของฉัน ทำเอาตกใจหมดเลย
    เกือบจะเผลอฆ่าทิ้งไปแล้วนะว้อย
มิโกะ : โดนลอบเข้าไปทำอะไรเหรอ ?
มาริสะ : โดนชิงอาภรณ์เทวาไปน่ะสิ
    อุตส่าห์เอามาเป็นของตัวเองเพราะเห็นว่าสวยดีแท้ๆ
มิโกะ : อาภรณ์เทวา......อาภรณ์เทวาของเซย์กะ ?
มาริสะ : เออ
เบียคุเรน : ช่างเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของ------
มิโกะ : กรรมตามสนอง

[แนวคิดของนักศาสนา]

มาริสะ : เอาเหอะ เรื่องนั้นช่างมัน
    อุตส่าห์รวมนักศาสนามาตั้งสามคนแต่คุยกันไม่คืบหน้าสักที
    พวกเธอผลัดกันยืนยันความคิดของตัวเองแล้วจิกกัดกันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
    สรุปว่าศาสนาคืออะไรกันแน่วะ ?
เบียคุเรน : ฉันคิดว่าศาสนาคือปรัชญาค่ะ เพื่อการปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์
มิโกะ : เช่นเดียวกัน ปรัชญาค่ะ เพื่อชี้นำตัวเองให้ยกระดับสูงขึ้น
คานาโกะ : งั้นก็ปรัชญาด้วยคน เพื่ออะไรดีล่ะ
มาริสะ : แล้วปรัชญาคืออะไรล่ะ (ฮา)
คานาโกะ : เลิกล้อเล่นดีกว่า ศาสนาคือวิธีการเข้าใจโลกนี้ไงล่ะ
    ศาสนาเป็นเพียงความรู้แขนงหนึ่ง เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์
มาริสะ : ถ้างั้นจะแบ่งแยกกันไปทำไมล่ะ ? แถมยังทะเลาะกันอีก
คานาโกะ : เรื่องนี้จะใช้คำว่าแบ่งแยกมันก็ไม่ถูกนะ
    หากใช้คำพูดผิดพลาดก็จะทำให้ประเด็นหลักผิดเพี้ยน เช่นเดียวกับการวิวาทนั่นล่ะ
    แต่ทุกคนต่างมุ่งหวังเพียงสิ่งเดียวจากทุกศาสนา นั่นคือการทำให้ไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับตนเองไงล่ะ
    พึ่งพาเทพ ยึดมั่นในพุทธ ทั้งหมดล้วนทำไปเพื่อปกป้องร่างกายของตัวเองด้วยตนเอง
เบียคุเรน : อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้นะคะ
    ถึงแม้บางครั้งจะเกิดสงครามศาสนาขึ้น แต่นั่นก็เกิดขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองสินะคะ
มาริสะ : ไม่เข้าใจหรอกนะว่าการทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นการปกป้องตัวเองยังไง แต่นักศาสนาทุกคนน่าจะรักความสงบสุขนี่นา ?
เบียคุเรน : ใช่แล้ว เหล่าโยวไคในวัดของฉันก็จะไม่ต่อสู้ถ้าไม่จำเป็นค่ะ
    หากอีกฝ่ายไม่ก่อความเสียหายขึ้นมาก่อนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กันค่ะ
มิโกะ : ดูเหมือนจะสอดคล้องกันในจุดนี้สินะคะ
    คงจะพูดได้ว่า
    มนุษย์ที่ไม่คิดอะไรและไม่นับถือศาสนาใดๆนั้นล้วนทำสงครามสร้างบาดแผลแก่กันและกันเพราะความอิจฉาและความโลภที่อยู่ตรงหน้าค่ะ
คานาโกะ : ถ้าทุกคนในเกนโซวเคียวสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ก็คงจะดีนะคะ
อาคิว : อ๊ะ คุณเรย์มุ กรุณารอก่อนค่ะ ยังอยู่ในระหว่างการเก็บข้อมูลนะคะ......
มาริสะ : อ้าว ? เรย์มุไม่ใช่เรอะ เป็นอะไรไป ? ทำไมทำหน้าบึ้งตึงแบบนั้น
เรย์มุ : ฉันฟังมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เอาแต่พูดตามอำเภอใจกันอยู่ได้ !
    ฉันจะแสดงให้ดูเองว่าพวกเธอสร้างความเดือดร้อนเอาไว้มากมายขนาดไหน !






Tips :
- เป็นครั้งแรกที่ระบุว่าการสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นในฤดูหนาว



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้