CoLA - 026


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 26
「คืนที่หมู่เมฆลอยสูง」

 

เมฆในฤดูร้อนซึ่งว่ากันว่ามีนักพรตนั่งอยู่กำลังทำให้ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสายและช่วงชิงความร้อนของเวลากลางวันไปไว้ที่ไหนสักแห่ง
แสงจันทร์ที่ชุ่มชื้นด้วยน้ำค้างสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

เรย์มุและมาริสะอยู่ในร้านมาตั้งแต่ตอนกลางวัน แต่ดันเกิดฝนตกตอนช่วงเย็นอย่างกะทันหันจึงกลับบ้านไม่ได้ คืนนี้เลยต้องทานมื้อเย็นที่นี่

「ช่วงนี้ยูคาริดูแปลกๆไปนะ
 ง่ำง่ำ」

「แต่ฉันว่ายัยนั่นไม่ได้เพิ่งเริ่มทำตัวแปลกๆหรอกว่ะ
 ง่ำง่ำ」

「ทั้งสองคนเลิกพูดตอนที่มีอะไรอยู่ในปากจะดีกว่านะ」

วันนี้ผมตั้งใจว่าจะทานอาหารคนเดียว ก็เลยมีแต่ของเรียบง่าย
เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ค่อยทานอาหารอยู่แล้ว
ปกติแล้วมื้อเย็นอย่างมากก็ดื่มเหล้าแกล้มผักดองเท่านั้นเอง
แต่ไหนแต่ไรมนุษย์ภูตอย่างผมก็ไม่ได้ทานอาหารเพื่อยังชีพอยู่แล้ว แค่ทานเพื่อความสนุกเท่านั้น
แค่ได้ดื่มเหล้าอย่างเอร็ดอร่อยก็พอแล้ว

แต่เรย์มุและมาริสะไม่ได้เป็นแบบนั้น หากไม่ได้ทานอาหารอย่างต่อเนื่องก็จะหมดแรงและล้มป่วยลง
ต่อให้ของแกล้มเหล้าชั้นเลิศหลายอย่างมีเกลือผสมอยู่มากก็ยังจัดว่าเหมาะกับพวกเธอ
ขอแค่มีข้าวกับเกลือก็คงจะร่าเริงขึ้นมาได้ในเวลาไม่นาน

「ยูคาริดูแปลกๆไปที่ว่าเนี่ย หมายถึงโยวไคตนนั้น, ยาคุโมะ ยูคาริ งั้นเหรอ ?」

ผมไม่ถูกโรคกับโยวไคตนนั้น
สำหรับตัวผมที่ใช้ข้าวของจากโลกภายนอกก็คงต้องขอบคุณเธอที่กั้นแบ่งระหว่างเกนโซวเคียวกับโลกภายนอก
แต่พอเธอเข้ามาใกล้แล้วรู้สึกเหมือนถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งจนไม่อาจสงบใจได้

「ช่วงนี้ยูคาริมาจับฉันฝึกวิชาน่ะสิ, มันแปลกๆอยู่นะ」

「จับเรย์มุฝึกวิชา ? ... ...โยวไคเนี่ยนะ ?
 แปลกดีนะ, โยวไคมาฝึกวิชาให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการกำราบโยวไคเนี่ยนะ... ...
 รู้สึกว่าจะต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่ๆเลยแฮะ
 แล้วเรย์มุตอบโต้ยังไงล่ะ ?」

「เพราะว่ายูคาริจะวางแผนอะไรเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นห่วง, ก็เลยตั้งใจฝึกวิชาน่ะ」

「แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะทำได้แค่นั้น, ก็เพราะทำได้แค่นั้นสินะ... ...」

จะพูดยังไงมันก็คือการทำตามที่ยูคาริพูดนี่นา

สาเหตุที่เกนโซวเคียวยังเป็นเกนโซวเคียวอยู่ได้ก็เพราะพลังในการควบคุมอาณาเขตของ ยาคุโมะ ยูคาริ
เธอกั้นแบ่งระหว่างเกนโซวเคียวกับโลกภายนอกด้วยพลังนั่น จึงแทบจะไม่มีโยวไคตนใดในเกนโซวเคียวที่ต่อต้านเธอ
การพูดว่าพลังของมนุษย์มิอาจทัดเทียมได้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใด

「... ...ยาคุโมะ ยูคาริ งั้นเหรอ
 เป็นเพราะเธอใช้ชื่อว่า 『ยาคุโมะ』 ดังนั้นจะดิ้นรนยังไง 『มิโกะก็ต้องทำตามที่เธอพูด』 เท่านั้นล่ะนะ」





ทานอาหารเสร็จก็ดื่มเหล้าชมจันทร์
ความร้อนของช่วงกลางวันถูกสายฝนยามเย็นพัดพาไปสิ้น จึงกลายเป็นค่ำคืนแห่งฤดูร้อนที่เย็นฉ่ำ
ทั้งที่เป็นคืนที่เหมาะแก่การชมจันทร์ แต่ที่นั่งพิเศษตรงหน้าทางเข้าร้านก็ถูกสองคนนั่นยึดไปแล้ว ผมจึงต้องยืนดื่มอยู่ข้างหลังแทน

「อ๋า--- จะว่าไปแล้วฉันตากผ้าทิ้งไว้ที่ศาลเจ้านี่นา
 เจอฝนเมื่อตอนเย็นเข้าไปจะเป็นอะไรมั้ยน้อ」

「มันจะไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ
 ฝนตกหนักจนออกจากร้านไม่ได้เลยนะว้อย」

「นั่นสิน้า, คงต้องซักใหม่อีกรอบแล้วล่ะ
 ว่าแต่คุณรินโนะสุเกะช่วยเล่าเรื่องเมื่อกี้ต่อทีสิ... ...ทำไม 『ฉันต้องทำตามที่ยูคาริพูด』 ด้วยล่ะ ?」

「อ๋อ, ก็ชื่อ ยาคุโมะ ยูคาริ มันบ่งบอกถึงทุกสิ่งอยู่แล้วนี่นา ?」

ผมมีความสามารถที่แค่มองวัตถุก็รู้ชื่อได้
และคงเป็นเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ถึงได้จู้จี้นิดหน่อยเรื่องชื่อต่างๆ

ชื่อที่ถูกตั้งให้แก่วัตถุจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ
นั่นคือ 『ชื่อที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของวัตถุ』 กับ 『ชื่อที่เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของวัตถุ』
แบบแรกคือชื่อที่ตั้งตามสี รูปร่าง ลักษณะภายนอก ลักษณะเด่นที่ต่างจากสิ่งอื่น หรือถ้าเป็นอุปกรณ์ก็อาจจะดูที่คุณประโยชน์ของมัน
อุปกรณ์ พืช สัตว์ และสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติส่วนใหญ่จะยึดตามรูปแบบนี้

แบบหลังคือการตั้งชื่อให้แก่ของที่ยังไม่ได้กำหนดคุณลักษณะ หรือของที่แค่อยากแยกแยะให้ต่างจากสิ่งอื่น
พวกนี้มักใช้กับชื่อคน ชื่อโยวไค หรือชื่อสินค้า
กรณีนี้พลังของชื่อจะมีอิทธิพลมากที่สุด
ดังนั้นลักษณะนิสัยของมนุษย์จึงเปลี่ยนแปลงอย่างมากด้วยการตั้งชื่อ, พ่อแม่ผู้ตั้งชื่อจึงพยายามใส่ความหมายหลายหลากลงไป
ไม่มีทางตั้งชื่อเพียงเพราะมันเสนาะหูในยามที่พูดออกมาอย่างแน่นอน

「คำว่า 『ยูคาริ (สีม่วง)』 ในชื่อของเธอก็คือสีที่อยู่ด้านนอกสุดของสายรุ้ง
 สายรุ้งจะปรากฏเป็นวงแหวนคู่ซึ่งแสดงถึงทางผ่านของมังกรเพศผู้และมังกรเพศเมีย และทั้งสองวงแหวนนั่นต่างก็มีสีม่วงอยู่ที่ขอบชั้นนอกสุด」

「มันก็จริงที่ว่าถ้ามองสายรุ้งดีๆจะมีบางครั้งที่เห็นว่ามีสองสาย... ...แต่จำลำดับสีไม่ได้แฮะ」

หากมองตอนที่สายรุ้งปรากฏขึ้นให้ดีๆจะพบว่ามีบ่อยครั้งที่เห็นรุ้งวงใน(รุ้งปฐมภูมิ)อย่างชัดเจนและเห็นรุ้งวงนอก(รุ้งทุติยภูมิ)อย่างเลือนราง
โดยลำดับของสีในแต่ละวงจะต่างกันออกไป

รุ้งปฐมภูมินับจากด้านล่างจะประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง ส่วนรุ้งทุติยภูมิจะมีสีเช่นเดียวกันแต่เรียงลำดับในทิศทางตรงกันข้าม
กล่าวคือ หากมองในแง่ของรุ้งคู่ จะเห็นว่าที่ขอบล่างสุดเป็นสีม่วงไล่ไปจนเป็นสีแดง จากนั้นก็เป็นสีแดงไล่ไปจนเป็นสีม่วง
อาณาเขตระหว่างสายรุ้งกับท้องฟ้าจึงเป็นสีม่วงเสมอ

「แค่นี้ชื่อก็บ่งชี้ถึงอาณาเขตแล้วเห็นมั้ย ?
 และอีกอย่างหนึ่ง, คำว่า 『ยาคุโมะ』 เนี่ย... ...ถ้าเอาแค่ความหมายของคำศัพท์มันก็คือ 『เมฆที่ซ้อนตัวกันหลายชั้น』 นั่นเอง」

「ที่บอกว่า ถ้าเอาแค่ความหมายของคำศัพท์ เนี่ยหมายความว่าไงเหรอ ?」

「กล่าวคือ คำว่า ยาคุโมะ เนี่ยมันไม่ค่อยถูกใช้โดยทั่วไป ส่วนมากจะใช้บ่งบอกถึงอิซึโมะซึ่งเป็นดินแดนของเหล่าเทพมากกว่าน่ะ
 กรณีของเธอคงจะเป็นคำว่ายาคุโมะ(หมู่เมฆ)ในบทกลอน 『หมู่เมฆลอยสูง ล้อมกรอบอิซึโมะ ตัวข้าสร้างกรอบ ล้อมรอบภริยา ดุจดั่งกรอบนั้น』 ล่ะมั้ง」

「คาถาอะไรวะนั่น」

「นี่คือบทกลอนที่ขับร้องโดย สึซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ
 ว่ากันว่าที่คือบทกลอนแรกที่ถูกขับร้องในประเทศญี่ปุ่น น่าตกใจมั้ยล่ะ ?」

「เห... เวลาพูดถึงสึซาโนโอะ โนะ มิโคโตะแล้วนึกออกแต่ภาพลักษณ์ที่ป่าเถื่อนหยาบคาย แต่ที่จริงก็รู้จักร้องเพลงเหมือนกันงั้นสิน้า
 ว่าแต่เพลงนั่นมันมีความหมายยังไงล่ะ ?」

「ความหมายเรียบง่ายอย่างมากเลยล่ะ
 『ตัวข้าสร้างบ้านที่มีรั้วรอบ (รั้วหลายชั้นแน่นหนา) เพื่อให้ภรรยาของข้า คุชินาดะฮิเมะ ได้ซ่อนอาศัยในประเทศอิซึโมะซึ่งมีเมฆที่งดงามหลายชั้น』
 อารมณ์ประมาณนั้นน่ะ」

「... ...เอ, ก็แค่สร้างบ้านนี่นา ? แล้วมันมีความหมายยังไงในฐานะบทเพลงล่ะ」

「เอาน่า ก็มันเป็นบทกลอนแรกของญี่ปุ่นนี่นะ
 ตรงที่พูดถึงการล้อมรั้วซ้ำไปซ้ำมานั่นมันแสดงให้เห็นผ่านบทเพลงว่ารู้สึกยินดีที่ได้สร้างบ้านไม่ใช่เหรอ」

「แต่ฉันว่าแบบนั้นมันเหมือนกับคนบ้าเลยนะ」

ผมคิดว่าการที่เธอเป็นมิโกะแต่ดันพูดว่าเทพเจ้าเป็นเหมือนคนบ้านี่มันชักจะยังไงอยู่นะ... ...

「สรุปก็คือเมื่อเอาความหมายจากชื่อและนามสกุลมารวมกัน ยาคุโมะ ยูคาริ จะมีความหมายว่า 『การล้อมรั้วกักขังเทพเจ้าอย่างแน่นหนา』 นั่นเอง
 ถ้าสลับตำแหน่งระหว่างเทพเจ้ากับมิโกะซึ่งอยู่ในเกนโซวเคียว ก็เท่ากับว่ายูคาริจะไม่ยอมปล่อยให้มิโกะหนีไปจากเกนโซวเคียวอย่างแน่นอนไงล่ะ」

เรย์มุเงียบไปแล้ว
เธอคงสะกิดใจหลายเรื่องเลยล่ะมั้ง

ปล่อยให้เธอดื่มเหล้าไปเงียบๆแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่เพื่อให้สนุกมากยิ่งกว่านี้ ผมจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาเอง

「บทกลอนเมื่อกี้น่ะ พอได้ลองร้องออกมาแล้วก็มองเห็นอีกด้านหนึ่งขึ้นมาแฮะ」

「หมู่เมฆลอยสูง... ...เอ่อ อะไรต่อนะ ลืมไปแล้วว่ะ」 มาริสะพูดออกมาแบบนี้ ผมเลยต้องร้องให้ฟังอีกครั้ง

「ในบทกลอนมีคำว่า 『กรอบ (ยาเอกาคิ)』 หลายครั้งเป็นจังหวะเลยร้องได้สนุกดีใช่มั้ยล่ะ ? อีกอย่าง คำว่ากรอบนั่นล้วนขึ้นต้นด้วยคำว่า 『ยา』 เหมือนคำว่ายาคุโมะ」

「ยา, ยา, ยา... ...เยอะจนน่ารำคาญเลยแฮะ
 ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ ?」

「แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะไม่มีความหมาย
 คำว่า 『ยา』 ตัวนี้แสดงถึงความหมายที่แท้จริงของอักษร ยา (八) (แปด) ไงล่ะ」

「จริงเหรอ ? แล้วมันมีความหมายว่ายังไงล่ะ ?」

「มันหมายถึง 『夜 (ยา) (ราตรี)』 ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะที่สุดสำหรับการซ่อนตัวจากมหาเทพอามาเทราสึไงล่ะ」



อากาศเริ่มเย็นขึ้นมาแล้ว
น้ำฝนยามเย็นที่ชุ่มชื้นอยู่ในผืนดินคงจะเริ่มระเหยออกมาแล้ว อากาศที่ถูกช่วงชิงความร้อนไปจึงเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นในเวลาเดียวกัน
ผมทำการเพิ่มเชื้อเพลิง
เชื้อเพลิงทำให้ร่างกายไม่เย็นจนเกินไปและก่อให้เกิดพลังในการคิดถึงสิ่งใหม่ๆอย่างมากมายในเวลาเดียวกัน
เพราะว่าไอเดียใหม่ที่คิดขึ้นได้ในสภาพจิตใจปกตินั้นล้วนเป็นแค่ไอเดียระดับธรรมดาเท่านั้น

「จริงๆแล้วอักษรคำว่า แปด นั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับคำว่า ราตรี
 ทั้งสองคำล้วนอ่านว่า 『ยา』 เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ?」

「ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, เนื้อย่าง(ยาคินิคุ)เองก็ขึ้นต้นด้วย ยา นะว้อย
 เอาเถอะ ปกติก็กินกันตอนกลางคืนอยู่แล้วนี่นะ
 แต่แบบนั้นมันก็แค่บังเอิญเท่านั้นเองนี่นา ?」

「ถ้าแค่คำว่าแปดกับราตรีก็คงช่วยไม่ได้ที่จะคิดแบบนั้น
 แต่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ก็คือ สองคำนี้มักจะอ่านเหมือนกันแม้แต่ในคำศัพท์ของประเทศอื่นๆนะ」

「งั้นเหรอ ? แต่ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์ของต่างประเทศซะด้วยสิ」

「ภาษาอังกฤษคือ 『Eight』 กับ 『Night』
 ภาษาลาตินคือ 『Oct』 กับ 『Noct』
 ภาษาเยอรมันคือ 『Acht』 กับ 『Nacht』... ...สองคำนี้ในภาษาอื่นส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆกัน
 อย่างนี้แล้วยังเรียกว่าบังเอิญอีกเหรอ ?」

「หืม--- ก็ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของต่างประเทศที่โลกภายนอกนี่หว่า
 เอาเถอะ งั้นทำไมสองคำนี้ถึงอ่านคล้ายกันล่ะ ?」

「มีความเห็นมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แน่ชัดน่ะ」

「อะไรของนายน่ะ เล่าออกมาทั้งที่ไม่รู้เหตุผลแน่ชัดเนี่ยนะ」

「มันก็ไม่ง่ายนะ เพราะว่าต้องทำการตรวจสอบเกี่ยวกับรากศัพท์ของภาษาต่างประเทศเยอะมาก」

มาริสะท่าทางไม่พอใจ เลยตอบไปแค่ว่า เอาไว้คราวหน้าจะตรวจสอบไว้ก่อนละกัน

「แต่ถ้าพูดถึงแค่ญี่ปุ่นก็พอจะจินตนาการถึงสาเหตุได้
 คำว่าแปดในภาษาญี่ปุ่น เช่น ยาคุโมะ(หมู่เมฆ) ยาเอกาคิ(รั้วกรอบหลายชั้น) ยาโอโยโรซึโนะคามิ(เทพแปดล้าน) มักมิได้หมายถึงจำนวนแปดโดยตรง
 แต่หมายถึงจำนวนที่มากมายจนนับไม่ได้... ...สิ่งที่อยากให้สังเกตก็คือ ทุกครั้งที่คำว่าแปดมีความหมายแบบนั้น มันจะอ่านว่า ยา เสมอ」

「ถ้ามีเนินมากมายก็อ่านว่า ยาซากะ ถ้ามีกลีบดอกไม้ซ้อนกันหลายชั้นก็ ยาเอะซาคุระ ถ้ามีคอเยอะแยะก็ ยามาตะโนะโอโรจิ... ...
 มันก็จริงนะที่ว่าถ้ามีความหมายถึงจำนวนมากมายจะอ่านว่า ยา」

「คำพูดเหล่านี้มันคือคำพูดที่มีมาแต่โบราณ ตั้งแต่ก่อนจะมีอักษรคันจิน่ะ
 ภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่เรียกจำนวนมากมายว่าแปดกันแล้ว」

「ถ้าจะบอกว่าแปดคน แล้วดันหมายถึงจำนวนมากมายหลายคนจนนับไม่ได้นี่ก็ไม่เข้าท่าว่ะ」

「สรุปก็คือ สาเหตุที่ใช้อักษรแปดซึ่งอ่านว่า 『ยา』 ในการระบุจำนวนมากมายนั้น เป็นเพียงเพราะเลขแปดคือจำนวนที่ใหญ่เท่านั้นเอง」

「เลขแปดคือจำนวนที่ใหญ่ ? เลขอื่นที่ใหญ่กว่านี้ยังมีอีกตั้งเยอะแยะนะว้อย ?」

「ไม่หรอก ในบรรดาเลขหลักเดียวนั้น เก้าถือว่าใหญ่สุด และแปดก็เป็นรองเพียงเก้าเท่านั้น
 แต่ว่าเก้า(คิว)นั้นหมายถึง ยาวนาน(คิว) ซึ่งหมายถึง นิจนิรันดร์ จึงแสดงถึง อนันต์ มาตั้งแต่สมัยโบราณ
 หากพูดถึงจำนวนอันมากมายก็แสดงว่ามีขีดจำกัด และต้องรู้สึกว่ามีค่าน้อยกว่าอนันต์
 ก็เลยเอาเลขแปดซึ่งอยู่ถัดจากเก้ามาใช้และให้อ่านว่า 『ยา』 ประมาณนั้นล่ะมั้ง」

「หืม--- จะบอกว่าแต่ก่อนคำว่าแปดไม่ได้อ่านว่า 『ยา』 สินะ ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคำว่าราตรีล่ะ ?」

「ราตรีมีความหมายเหมือน 『ยา』 ของคำว่าแปดไงล่ะ
 คำที่หมายถึงจำนวนอันมากมายนับไม่ถ้วนจึงถูกสื่อถึงคำว่าราตรี」

และไม่เพียงเท่านี้ คำเรียกตัวเลขในภาษาญี่ปุ่นยังมีความลับซ่อนอยู่อีกมากมายนัก

「ทำไมคำที่หมายถึงจำนวนอันมากมายนับไม่ถ้วนจึงเป็นราตรีล่ะ ?」

「ลองมองดูท้องฟ้าในยามราตรีที่พึ่งพาได้เพียงแสงจันทร์อย่างวันนี้ก็พอ
 น่าจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมมันจึงหมายถึงจำนวนอันมากมายนับไม่ถ้วนนะ ?」





เมฆที่ทำให้เกิดฝนตกเมื่อหลายชั่วยามก่อนได้ลอยหายไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
ยามราตรีของเกนโซวเคียวได้ถูกแทนที่ด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ผมจ้องมองหมู่ดาวบนท้องฟ้าจนลืมดื่มเหล้า
ลำธารสีเงินที่ไหลอยู่บนท้องฟ้านั้นมีมากมายเพียงพอที่จะบดขยี้ความทะเยอทะยานของผู้หาญกล้าบ้าบอที่พยายามจะนับจำนวนดาวทั้งหมดบนท้องฟ้า

ช่างแตกต่างกับท้องฟ้าในยามกลางวันที่มีพระอาทิตย์เป็นตัวตนหนึ่งเดียว
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มหาเทพอามาเทราสึ หรือก็คือพระอาทิตย์นั้นจะได้รับการบวงสรวงให้เป็นเทพสูงสุด

กลางคืนมีดวงดาวลอยอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
ราวกับแสงเลือนลางของผู้คนมากมายที่ต้องหลบซ่อนตัวจากพระอาทิตย์
ท้องฟ้ายามราตรีที่สมบูรณ์แบบนั้นทำให้มนุษย์รู้สึกได้ถึงความเล็กจ้อยของตัวเองเมื่อเทียบกับพระอาทิตย์
ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงความทุกข์ทรมานของเหล่าโยวไคที่พ่ายแพ้ต่อพระอาทิตย์

「เอาเป็นว่า ฉันทำได้แค่ตั้งใจฝึกวิชาโดยไม่ต้องเป็นห่วงว่ายูคาริจะวางแผนอะไรเอาไว้สินะ」

「เอาเถอะ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง
 แถมถ้าการฝึกวิชามันทำให้เรย์มุแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ถือว่าดีแล้วด้วย, อีกอย่าง... ...」

ยังไงก็สู้ยูคาริไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปต่อต้านเธอ

「อืม
 เอาเป็นว่าพอกลับไปถึงศาลเจ้าแล้วฉันจะลองคิดเมนูการฝึกแบบใหม่ดูละกัน」

「แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องซักผ้าที่ถูกฝนยามเย็นอันน่าเศร้าเล่นงานก่อนนะว้อย」

「ฮือ」

「อันที่จริงฝนยามเย็นมันก็เป็นของคู่กันกับฤดูร้อนอยู่แล้วล่ะนะ
 เห็นว่าตอนกลางวันอากาศแจ่มใสเลยตากผ้าไว้ข้างนอกแล้วออกจากบ้านไปเป็นเวลานานแบบนี้น่ะ ประมาทเกินไปแล้วล่ะว้อย」

「เสื้อผ้ามันก็เปียกอยู่แล้ว จะเปียกฝนอีกรอบมันก็ไม่ต่างกันหรอก」

「อ่านะ ก็คงงั้นล่ะมั้ง」

「เดี๋ยวเดี๋ยว ไม่ได้นะ เอาแต่ทำแบบนั้นเดี๋ยวเสื้อผ้าก็เสียหายหมดพอดี
 ปกติเสื้อผ้าของพวกเธอก็มีอายุขัยสั้นเพราะห่ากระสุนอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ซักมันให้ดีๆหน่อยเถอะ
 ต้องให้ความสำคัญกับข้าวของสิ」

「ค่าค่า
 พรุ่งนี้จะอยู่ที่ศาลเจ้าจนกว่าจะแห้งเลย
 ถ้าพรุ่งนี้แดดดี แค่นอนตื่นเดียวก็คงแห้งแล้วล่ะ」

「ถ้าเอาแต่นอนมันก็ไม่ต่างกับไม่อยู่บ้านหรอก」



ตัวเลขหนึ่งสามารถอ่านได้ว่า 『ฮิโตะ(ทสึ)』 แต่พอนับหนึ่งสองสาม (ฮิฟุมิ) แล้วสามารถอ่านว่า 『ฮิ』 ได้ด้วย
ซึ่งคำว่า ฮิ นี้นัยถึง วัน (日) หรือก็คือพระอาทิตย์นั่นเอง
ตัวเลขญี่ปุ่นนั้นเริ่มต้นจากพระอาทิตย์ ตามด้วย 『ฟู (風) (สายลม)』 『มิ (水) (สายน้ำ)』 ซึ่งเกี่ยวข้องกับท้องฟ้า ปฐพี และราตรี
ตัวเลขญี่ปุ่นนั้นแสดงถึงสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจนถึงเลขเก้าเลยทีเดียว

ตัวเลขเพียงตัวเดียวกลับมีความหมายลึกซึ้งถึงเพียงนี้
บางทีมันอาจจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงก็ได้
แต่การเอาตัวเลขไปใส่ในชื่อทำให้สามารถซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งได้ง่าย ยิ่งเป็นโยวไคที่แข็งแกร่งก็ยิ่งนิยมใส่ตัวเลขในชื่อ
ถ้าคิดว่าตัวเลขเป็นแค่คำพูดที่ใช้บอกจำนวนก็ต้องถือว่าคิดผิดไปถนัด
อยากให้คิดแบบนั้นแล้วมองดูสิ่งที่อยู่รอบตัว
บางทีอาจมองเห็นความลับที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียนก็เป็นได้





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- ฉบับรวมเล่มไม่มีภาพประกอบ จึงต้องนำภาพของฉบับซีรี่ส์มาใช้แทน
- ได้ข้อมูลใหม่ว่ารินโนะสุเกะไม่ค่อยทานอาหาร แต่ก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเพราะเขาเป็นลูกครึ่งโยวไค
- เนื้อเรื่องในตอนนี้เกิดขึ้นหลังจากการเริ่มต้นของภาค SSiB ซึ่งยูคาริมาจับเรย์มุฝึกวิชา
- ระบุไว้ว่าการกั้นแบ่งเกนโซวเคียวกับโลกภายนอกเกิดขึ้นจากพลังของยูคาริ
- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเสื้อผ้าของพวกเรย์มุเองก็เสียหายจากการต่อสู้เหมือนกัน



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้