SoP - Article 1


東方求聞口授 ~ Symposium of Post-mysticism.
โทวโฮวกุมอนคุจุ (ใคร่รู้คำสอนแห่งตะวันออก) ~ งานประชุมสัมมนาแห่งยุคหลังความเชื่อทางศาสนา


.........................................................................................................................................................................................

บทที่ 1
ขั้วอำนาจใหม่จะนำอะไรมาสู่เกนโซวเคียว



อาคิว : ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงที่เข้าร่วมงานนี้ทั้งที่กำลังยุ่งอยู่
    ข้าพเจ้า ฮิเอดะ โนะ อาคิว อยากรวบรวมเรื่องราวอันแสนล้ำค่าและบอกเล่าแก่ทุกท่านเพื่อเกนโซวเคียวในวันข้างหน้าค่ะ
    ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอฝากหน้าที่พิธีกรในลำดับต่อไปให้แก่คุณ คิริซาเมะ มาริสะ
    มนุษย์ผู้เป็นจอมเวทและเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของเกนโซวเคียวในเรื่องโยวไคค่ะ


มาริสะ : อะ เอ่อ--- มาริสะ รับหน้าที่พิธีกร... ค่ะ
    ได้ยินมาว่าเรื่องนี้ต้องสนุกแน่ๆว่ะ เอ๊ย ค่ะ ก็เลยรับทำให้ค่ะ เอ่อ---......

อาคิว : พูดตามปกติก็ได้นะคะ ? ฟังแล้วขยะแขยงชอบกล

มาริสะ : ด้วยประการละฉะนี้ เชิญทุกคนแนะนำตัวได้เลยโว้ย
คานาโกะ : ยาซากะ คานาโกะค่ะ ปัจจุบันเป็นผู้บริหาร(*1)กิจการของศาลเจ้าบนภูเขาโยวไค
    ปกติแล้วฉันคิดถึงแต่เรื่องของชินโตอย่างเดียว แต่การได้ฟังเรื่องของศาสนาอื่นก็จัดว่าน่าสนุกมากๆเลยค่ะ
    *1 [ถึงจะบอกว่าเป็นผู้บริหาร แต่จริงๆแล้วเธอก็คือเทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในศาลเจ้าโมริยะนั่นล่ะค่ะ]
เบียคุเรน : ฮิจิริ เบียคุเรนค่ะ ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสของวัดเมียวเรนจิ(*2)ที่อยู่ตรงท้ายหมู่บ้านค่ะ
    ถึงจะบอกว่าเป็นเจ้าอาวาส แต่ก็เป็นแค่ผู้อ่อนประสบการณ์ที่ยังไม่รู้แจ้งค่ะ
    วันนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
    *2 [วัดที่มีนักบวชเป็นโยวไคมากกว่ามนุษย์ เป็นวัดที่พบได้เฉพาะในเกนโซวเคียว]
มิโกะ : โทโยซาโตะมิมิ โนะ มิโกะค่ะ เอ่อ--- ตอนนี้เลิกเป็นมนุษย์และกลายเป็นเซียนแล้วค่ะ
    ฉันเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้เลยยังสะลึมสะลืออยู่
    แต่คิดว่าวันนี้น่าจะได้เข้าใจเกนโซวเคียวอย่างลึกซึ้งมากขึ้นก็เลยลองเข้าร่วมงานดูค่ะ
    ว่าแต่ชาวเกนโซวเคียวเนี่ยสนิทสนมกันดีจังเลยนะคะ มีการพบปะพูดคุยกันแบบนี้ด้วย......
มาริสะ : ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยว้อย แต่เอาเถอะ พวกเราชอบท้าทายสิ่งแปลกใหม่อย่างนี้อยู่เสมอแหละ
มิโกะ : งั้นเหรอคะ......

[ขั้วอำนาจใหม่จะนำอะไรมาสู่เกนโซวเคียว]

มาริสะ : ด้วยประการละฉะนี้
    จึงรวบรวม เทพเจ้าจากชินโต พระจากพุทธ และเซียนจากเต๋า ซึ่งต่างเป็นศัตรูทางการค้าของกันและกันมาเพื่อความสนุกสนาน
    สรุปว่าเป็นงานเสวนาไตรภาคีของศาสนาทั้งสามอะไรทำนองนั้นแหละ
    เอ้า แล้วจะคุยเรื่องอะไรกันล่ะ ?
คานาโกะ : เรื่องนั้นพิธีกรอย่างเจ้าต้องเป็นคนกำหนดไม่ใช่เหรอ ?
มาริสะ : นั่นสินะ ถ้างั้นหัวข้อแรกคือ [ขั้วอำนาจใหม่จะนำอะไรมาสู่เกนโซวเคียว] ก็แล้วกัน คุยกันตามใจชอบไปเลยว้อย
มิโกะ : เธอเองก็ตั้งหัวข้อไปตามใจชอบแล้วนี่นะ (หัวเราะ)
คานาโกะ : ขั้วอำนาจใหม่ที่ว่านั่น หมายถึงพวกฉันเหรอ ?
มาริสะ : เออสิ ถ้าให้เสริมอีกนิดก็คือ พวกเธอทุกคนเป็นผู้มาอยู่ใหม่ไงล่ะ
    อาจจะเป็นโมเลกุลอันตรายที่คุกคามความสงบสุขของเกนโซวเคียวก็ได้ และนั่นก็คือหัวข้อลับของการพบปะพูดคุยครั้งนี้ไง
คานาโกะ : ทั้งที่คิดว่าคุ้นเคยกันดีแล้วแท้ๆ......(*3)
    *3 [นับตั้งแต่เธอเข้ามาสู่เกนโซวเคียวก็ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้วค่ะ]
มาริสะ : ต่อให้ผ่านไปกี่ปี เด็กใหม่ก็คือเด็กใหม่อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ ถ้ามองในแง่ความอาวุโสน่ะนะ
มิโกะ : ถ้างั้นเริ่มพูดจากตัวฉันซึ่งเป็นเด็กใหม่ของจริงก่อนละกันค่ะ
มาริสะ : เอาดิ
มิโกะ : ความประทับใจอย่างแรกที่ฉันมีต่อเกนโซวเคียวคือ
    จิตใจของมนุษย์ที่ถูกพัดพาไปตามความคึกคะนองโดยไม่สนใจแม้กระทั่งเหล่าโยวไคที่ก่อความเสียหายให้แก่มนุษย์ค่ะ
    มนุษย์ที่หมู่บ้านใช้ชีวิตในแต่ละวันราวกับถูกพัดพาไปตามกระแสปัจจุบัน ไม่มีแม้ความคิดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
    เหล่าโยวไคล้วนแสวงหาผลประโยชน์จากจิตใจที่คึกคะนองดังกล่าวอย่างเต็มที่
    สมดุลสุดอันตรายที่ไม่พังทลายและอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ต้องนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ค่ะ
มาริสะ : มะ.. มั้งนะ
มิโกะ : ทำไมเกนโซวเคียวถึงไม่มีชนชั้นปกครองล่ะคะ ?
    หากมนุษย์มีสถานะเท่าเทียมกันทั้งหมด จะไม่เกิดการขับเคลื่อนทางสังคมนะคะ
มาริสะ : ชนชั้นปกครอง ?
มิโกะ : ใช่ค่ะ สังคมจำเป็นต้องมีผู้ชี้แนะเพื่อนำทางผู้คนไปสู่อนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความหวังค่ะ
    ถ้าหากไม่มีผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นล่ะก็ ฉันจะ......
คานาโกะ : ถ้าให้เธอซึ่งไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วมาปกครองมนุษย์ แล้วอนาคตของมนุษย์จะเป็นยังไงล่ะ
มิโกะ : คำว่า ปกครอง มันฟังแล้วไม่รื่นหูสินะคะ
    ฉันแค่ทำฆ่าเวลาจนกว่าจะมีมนุษย์ออกมาเลียนแบบหรือคัดค้านฉันเท่านั้นเองค่ะ
เบียคุเรน : เอ่อ--- ขอเวลาสักเดี๋ยวได้มั้ยคะ ? ตรงที่บอกว่าเกนโซวเคียวไม่มีชนชั้นปกครองนั่น ฉันคิดว่าพูดผิดนิดหน่อยค่ะ
มาริสะ : ยังไง ?
เบียคุเรน : พลังของโยวไคคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการคงสภาพของเกนโซวเคียวในปัจจุบันค่ะ(*4)
    เพราะว่าเกนโซวเคียวถูกโยวไคสร้างขึ้นเพื่อให้พวกโยวไคมีที่อยู่อาศัย
    ส่วนมนุษย์ที่อยู่ในเกนโซวเคียวนั้นมีตัวตนอยู่เพื่อทำให้เหล่าโยวไคคงอยู่สืบไปเท่านั้น
    มนุษย์ในเกนโซวเคียวจึงถูกปกครองโดยโยวไคนั่นเองค่ะ
    *4 [พูดให้ถูกคือ ตราบเท่าที่ยังมีเขตแดนอยู่ย่อมไม่เกิดปัญหาใดๆ ส่วนนั่นเป็นข้ออ้างที่พวกโยวไคชอบยกมาใช้บ่อยๆค่ะ]
คานาโกะ : เห็นพ้องกันเลยนะคะ
    เหล่าโยวไคล้วนอาละวาด ปกครองมนุษย์ และคอยเฝ้าดูมิให้เหล่ามนุษย์ลืมตาตื่นขึ้นมาเดินบนเส้นทางที่ผิด(*5)
    ดังนั้นการที่จงใจไม่มีชนชั้นปกครองในหมู่มนุษย์ก็คือการทำเพื่อเกนโซวเคียวนั่นเอง
    *5 [การทำให้ไม่สามารถปกครองผู้อื่นได้โดยสะดวก]
มิโกะ : เป็นอย่างนั้นเองเหรอคะ แต่ว่าแบบนั้นมนุษย์ก็น่าสงสารแย่สิคะ......
คานาโกะ : เธอต้องลองคิดถึงเรื่อง "พวกสัตว์ในสวนสัตว์ไม่มีความสุขจริงๆเหรอ" ดูน่ะ
มิโกะ : สวนสัตว์คือ ?
คานาโกะ : สถานที่คุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ซึ่งเปิดให้มนุษย์เข้าชมและศึกษาน่ะค่ะ
    ตอนนี้แม้แต่นกที่โบยบินได้อย่างอิสระเสรีในธรรมชาติก็ถูกจับมาใส่กรงแคบๆ......ถ้ามองในแง่นั้นก็อาจจะมองว่าไม่มีความสุขได้
    แต่ในกรงนั้นไม่มีศัตรูที่คุกคามชีวิต ไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกิน ได้ดูมนุษย์มากหน้าหลายตาจนไม่มีเบื่อ
    ถ้าคิดแบบนั้นก็น่าจะมีความสุขใช่มั้ยล่ะ ?
มิโกะ : แปลว่ามนุษย์ในเกนโซวเคียวก็ไม่ต่างจากสัตว์ในสวนสัตว์สินะคะ ?
    แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเกียรติของมนุษย์จะเป็นยังไงล่ะคะ ?
คานาโกะ : เกียรติ... สินะ
    ฉันคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับจากผู้อื่นนะคะ......
    เจ้าว่าไงล่ะ ?
มาริสะ : อื๋อ ? ฉันเหรอ ? แล้วคำว่า เกียรติ ที่ว่าเนี่ยมันคืออะไรล่ะ ?
มิโกะ : ประมาณว่าเป็น ความภูมิใจ ศักดิ์ศรี อะไรทำนองนั้นน่ะ
มาริสะ : แน่นอนว่าฉันมีความภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง
    หรือต่อให้ถูกบังคับให้ทำก็เถอะ ถ้ายังสนุกได้ทุกวันก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิดว่ะ
มิโกะ : งั้นเหรอคะ......
    ถ้างั้นลืมที่ฉันพูดไปเสียเถอะค่ะ
มาริสะ : อ๊ะ แล้วตกลงมันคือเรื่องอะไรเหรอ ?
คานาโกะ : (หัวเราะ)

[สาเหตุที่คานาโกะเข้ามาสู่เกนโซวเคียว]

มาริสะ : เรื่องมันยากไปหน่อยอ่ะ
    ส่วนพวกชาวบ้านจะเป็นยังไงน่ะ บอกตามตรงว่าช่างมันเหอะ
    เล่าเรื่องของพวกเธอมาเหอะน่า ก็หัวข้อคือ พวกเธอจะนำอะไรมาสู่เกนโซวเคียว นี่นา
    งั้นก่อนอื่น ทำไมถึงเข้ามาในเกนโซวเคียวล่ะ ?
คานาโกะ : ฉันมาแสวงหาศรัทธาใหม่ๆในเกนโซวเคียวน่ะ
    ศาลเจ้าที่โลกภายนอกกลายเป็นแค่จุดชมวิวและสถานที่ที่ถูกเรียกขานว่า Power Spot ซึ่งมีความหมายไม่ชัดเจนไปแล้ว
    ไม่ใช่สถานที่สำหรับมอบศรัทธาแด่เทพเจ้าอีกต่อไป
    สิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าน่ะ ถ้าไม่ได้รับศรัทธาจากมนุษย์ก็มิอาจคงไว้ซึ่งตัวตนได้ค่ะ
มาริสะ : ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ฉันว่ามาอยู่ในเกนโซวเคียวนี่ก็ไม่ค่อยจะได้รับศรัทธานะ
คานาโกะ : แค่เชื่อในความจริงก็พอค่ะ
    โลกภายนอกไม่ยอมเชื่อว่าเทพเจ้ามีตัวตนอยู่จริงด้วยซ้ำ ดังนั้นยังไงก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเกนโซวเคียวค่ะ
    อย่างไรเสีย มนุษย์ที่นี่ก็ยังเชื่อในตัวตนของเทพเจ้าจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตอยู่ค่ะ
มาริสะ : มะ.. แหม จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มาอยู่ตรงหน้าแล้วนี่นา
คานาโกะ : เรื่องมันไม่เป็นแบบนั้นที่โลกภายนอกน่ะสิคะ
    ต่อให้เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็จะคิดว่าเป็นแค่ภาพมายาและไม่ยอมรับว่าเรื่องมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ
    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกพัดไปตามกระแสได้ง่าย และตอนนี้แนวคิดแบบนั้นกำลังเป็นที่นิยมเสียด้วย
เบียคุเรน : เป็นที่นิยมเหรอคะ ?
คานาโกะ : ใช่แล้ว มันเป็นความนิยมที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนาอะไรบางอย่าง
    ทั้งที่คิดว่าเทพเจ้าหรือโยวไคไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่กลับเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงด้วยนะ ?
มาริสะ : โฮ่ ? เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกนะ เรื่องนั้นน่ะ
คานาโกะ : มนุษย์รู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่จนไม่อาจควบคุมตามใจตนได้ จึงเริ่มคิดว่าน่าจะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่ไหนสักแห่ง
    ทั้งที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้แท้ๆ
    กล่าวคือ ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ามากเกินไปกลับกลายเป็นความเชื่อเรื่องลี้ลับอย่างกะทันหัน น่าตลกจังเลยน้า
เบียคุเรน : ฉันสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วค่ะ ศาลเจ้าของคุณมีเทพเจ้าอยู่สองคนสินะคะ ? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ ?
คานาโกะ : พูดให้ถูกคือมีอยู่สามคน(*6)ค่ะ แต่เรื่องนั้นปล่อยไปก่อน เพราะว่ามันค่อนข้างซับซ้อนค่ะ......
    เอาเป็นว่า สุวะโกะ(*7)เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีละกันค่ะ
    *6 [ดูเหมือนคุณซานาเอะเองก็จะเป็นเทพเจ้านะคะ เห--- ...จะว่าไปแล้วเทพเจ้านี่ไม่ได้นับว่าสามคนนะคะ]
    *6 [ปกติต้องใช้คำว่า สามองค์ ถึงจะถูก แต่อาจเป็นคำที่ใช้เฉพาะตอนที่มนุษย์นับเทพเจ้าล่ะมั้ง]
    *7 [โมริยะ สุวะโกะ เทพเจ้าแห่งกบค่ะ]
มาริสะ : ฉันรู้นะว้อย จริงๆแล้วคนที่ปกครองศาลเจ้าคือสุวะโกะใช่มั้ยล่ะ ? เธอแค่คอยออกหน้ามาดำเนินกิจการเท่านั้นเอง
คานาโกะ : อะแฮ่ม ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ก็จริงที่ว่าศาลเจ้าโมริยะเป็นของสุวะโกะ
    แต่ตัวสุวะโกะไม่ค่อยสนใจเรื่องการรวบรวมศรัทธาเลยน้า ฉันก็เลยต้องเป็นคนรวบรวมศรัทธาอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ ช่วยไม่ได้จริงๆ
เบียคุเรน : จะว่าไปแล้ว คุณคานาโกะมีบ้านเกิดอยู่แถวๆสุวะแห่งชินาโนะ(*8)สินะคะ ?
    *8 [เป็นชื่อดินแดนของโลกภายนอกค่ะ ดูเหมือนจะมีทะเลด้วยนะคะ]
คานาโกะ : ไม่ใช่ฉันหรอก แต่ซานาเอะกับสุวะโกะน่าจะเป็นอย่างนั้น
    แต่ฉันเองก็เคยอาศัยอยู่ที่สุวะเป็นเวลานานเหมือนกัน
เบียคุเรน : จริงๆแล้วฉันเองก็มีบ้านเกิดอยู่ที่ชินาโนะเหมือนกันค่ะ น่าคิดถึงจัง
คานาโกะ : อ้าว จริงเหรอคะ
เบียคุเรน : ฉันเคยไปที่สุวะหลายครั้งเลยล่ะค่ะ ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสสะอาด เป็นสถานที่ที่งดงามมากเลยค่ะ
คานาโกะ : นั่นมันเรื่องตั้งแต่สมัยไหนคะ ?
เบียคุเรน : เอ ประมาณพันปีได้มั้งคะ
คานาโกะ : แต่ว่าน้า ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเยอะจนกลายเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิดแล้วล่ะน้า......
    แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ภูมิใจที่มีเครื่องจักรความละเอียดสูงซึ่งทำให้เป็นเลิศในด้านอุตสาหกรรมล่ะนะ
    มีบ่อน้ำพุร้อนที่สถานีรถไฟด้วย......

[การสร้างวัดเมียวเรนจิ]

มาริสะ : โอ๊ะโอ๊ะ เรื่องบ้านนอกคอกนาที่ชาวเกนโซวเคียวไม่เข้าใจแบบนั้นน่ะพอก่อนเลย
    ต่อไปเอาเป็น(ชี้ไปทางเบียคุเรน)เธอละกัน มาที่เกนโซวเคียวทำไม ?
เบียคุเรน : ฉันเป็นแค่นักบวชธรรมดาค่ะ แต่เกิดความเข้าใจผิดนิดหน่อยเลยถูกมนุษย์หักหลังและผนึกเอาไว้ค่ะ......
    แต่ก็ยังมีพวกพ้องที่เคารพรักในตัวคนอย่างฉันเข้าไปช่วยฉันออกมา
    พอออกมาได้ก็พบว่าอยู่ในเกนโซวเคียวแล้ว เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ล่ะค่ะ
มิโกะ : เดี๋ยวก่อนสิ สรุปว่าเธอแค่บังเอิญมาโผล่ที่นี่งั้นเหรอ ?
เบียคุเรน : คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกค่ะ เพราะถ้าไม่ใช่เกนโซวเคียว พวกพ้องของฉันก็คงไม่อาจรักษาพลังของตนเอาไว้ได้
มิโกะ : การที่เธอมาสร้างวัดอยู่เหนือสถานที่หลับใหลของฉันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ ?
เบียคุเรน : พูดเรื่องอะไรเหรอคะ ?
มาริสะ : อ้อ จะว่าไปแล้ว สุสานของมิโกะอยู่ใต้วัดพอดีเลยนี่นะ
มิโกะ : เอาวัดพุทธที่ฉันใช้เป็นประโยชน์ทางการเมืองมาทำเป็นฝาครอบฉันเอาไว้
    แถมพอเปิดออกมาก็พบว่ามันไม่ใช่วัดธรรมดา ดันเป็นวัดโยวไคที่มีนักบวชเป็นโยวไคเต็มไปหมด
    วัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมารซึ่งรังเกียจตัวฉัน......
เบียคุเรน : เสียมารยาทนะ จริงอยู่ว่าเป็นวัดที่มีแต่โยวไค แต่พวกเขาบริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่งกว่ามนุษย์เสียอีกค่ะ
    โยวไคเองก็กลายเป็นเทพเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ได้ เหมือนกับที่มนุษย์สามารถเป็นเซียนหรือเทวดาได้นั่นล่ะค่ะ
    พลังอันมหาศาลของฉันเองก็มาจากส่วนที่เป็นโยวไคค่ะ
มิโกะ : นักบวชที่ลุ่มหลงในทางสายมารงั้นหรือ เป็นนักบวชที่ล้มเหลวเอาการเลยนะ
    ......อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่คนที่เอาศาสนาพุทธมาใช้เล่นการเมืองอย่างฉันคงไม่อาจพูดได้สินะ
เบียคุเรน : แหม ถ้าให้พูดตรงๆนะคะ
    สาเหตุที่สร้างวัดตรงนั้นเป็นเพราะหนูที่เชี่ยวชาญด้านการหาสมบัติของฉัน(*9)แจ้งข้อมูลมาว่า
    "ตรงนั้นมีอะไรบางอย่างที่สุดยอดถูกฝังอยู่ !"
    ฉันก็เลยตรวจสอบดู แล้วพบว่าเป็นของที่ท่าทางจะอันตรายกว่าที่คิด ก็เลยพยายามซ่อนเอาไว้น่ะค่ะ
    *9 [นาซูริน กำลังทานข้าว]
มิโกะ : ของท่าทางอันตรายที่ว่านั่น หมายถึงฉันเหรอ ?
เบียคุเรน : ฉันคิดว่าลางสังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาดนะคะ แต่น่าเสียดายที่มีพลังไม่เพียงพอ
มิโกะ : เธอก็เลยผนึกฉันเอาไว้ไม่ได้
    น่าเสียดายนะที่พระศีลแตกไร้ชื่อเสียงอย่างเธอเป็นคนพยายามผนึกฉัน

[การคืนชีพของนักบุญ]

มาริสะ : เอาไว้ทะเลาะกันทีหลังน่า (เหงื่อตก) ถ้างั้นก็ปิดท้ายที่มิโกะเลยละกัน
มิโกะ : ฉันใช้วิชากับตัวเองจนหลับไปน่ะค่ะ
    กะว่าพอตื่นขึ้นมาก็จะกลายเป็นเซียนและสนุกกับโลกนี้ได้ตามอำเภอใจ......
    แต่กว่าจะรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลกธรรมดาก็ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วนั่นล่ะค่ะ
    เพราะงั้นพอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในเกนโซวเคียวแห่งนี้แล้ว
    ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องราวของเกนโซวเคียวอยู่ค่ะ วันนี้ก็ได้เรียนรู้มากเป็นพิเศษเลย
    ถึงแม้จะไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงมาโผล่ที่เกนโซวเคียวได้ก็เถอะค่ะ......
คานาโกะ : เหตุผลที่เธอมาโผล่ในเกนโซวเคียวนั้นง่ายนิดเดียว
    เหมือนกับเทพอย่างฉันหรือเหล่าโยวไคที่ถูกโลกภายนอกปฏิเสธตัวตนจนต้องมาอยู่ที่นี่
    เธอเองก็ถูกทำเป็นว่าไม่มีตัวตนมาก่อนเหมือนกัน
มิโกะ : ถูกทำเป็นว่าไม่มีตัวตนมาก่อน ?
    แต่ฉันก็ยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้นี่คะ......
คานาโกะ : มันคือสิ่งที่กั้นแบ่งระหว่างโลกภายนอกกับเกนโซวเคียว
    นั่นคือสามัญสำนึกกับความไร้สามัญสำนึกค่ะ จะเรียกว่าความเป็นจริงกับสิ่งมายาก็ได้
    กล่าวคือสิ่งที่ถูกปฏิเสธตัวตน สิ่งที่สูญหาย และสิ่งถูกหลงลืมไปจากโลกภายนอก ล้วนกลายเป็นความจริงในเกนโซวเคียวค่ะ
มิโกะ : แปลว่า ฉัน......
มาริสะ : ถูกลืมไปแล้วสินะ
มิโกะ : กลายเป็นตัวตนที่คล้ายกับเทพเจ้าสำหรับมนุษย์ไปแล้วสินะคะ(*10)
    *10 [มองโลกในแง่ดี]
คานาโกะ : ไม่ผิดแน่ ไม่สิ เท่าที่ฉันรู้ เธอเป็นเทพในความเชื่อของชินโตมานานแล้วล่ะ
มิโกะ : จริงสิ ลืมบอกไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าปกติแล้วฉันไม่ได้อยู่ในเกนโซวเคียว
มาริสะ : อ๋า ?
มิโกะ : ฉันอาศัยอยู่ในห้วงมิติที่สร้างขึ้นเองน่ะค่ะ เพราะเซียนคือผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่อาจรบกวนได้ไงล่ะ
มาริสะ : จะว่าไปแล้ว เซียนที่ฉันรู้จักก็อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เดินทางไปถึงได้ยากเหมือนกัน
    ว่าแต่เธอสร้างห้วงมิติขึ้นมาได้ยังไงล่ะ ?
มิโกะ : ถ้าศึกษาวิชาเซียนถึงระดับหนึ่งก็จะสามารถสร้างขึ้นได้ง่ายๆเลยล่ะค่ะ มาเป็นลูกศิษย์ของฉันมั้ยล่ะคะ ?
มาริสะ : อุ ขอคิดดูหน่อยละกันว่ะ
มิโกะ : อาจจะถึงขั้นไม่แก่ไม่ตายก็ได้นะคะ ?
มาริสะ : อู
คานาโกะ : อ้าว ชวนกันดื้อๆเลยเหรอ ? ถ้างั้นฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ ?
    ถ้าเป็นตอนนี้จะแถมบริการเซียมซีมหาลาภให้สองเดือนเลย
เบียคุเรน : งั้นฉันเอาด้วยค่ะ ยังไงคุณก็เป็นมนุษย์ที่คล้ายโยวไคอยู่แล้วด้วย
มิโกะ : เนื้อหอมน่าดูเลยน้า (หัวเราะ)



(เหนือศีรษะคานาโกะ = ชักชวน / ช่องคำพูดของมิโกะ = เซียน / มือของมิโกะ = ไม่ตาย)
(ข้างเอวระบุส่วนหนึ่งของชื่อแต่ละคน : คานาโกะ = 神(คา) / มาริสะ = 魔(มา) / มิโกะ = 耳 (มิมิ))

[การคืนชีพของนักบุญ]

มาริสะ : อะ.. เอาเป็นว่าแนะนำตัวเองกันจบแล้วสินะ
    ถ้างั้นฉันอยากถามพวกเธอหน่อยว่า จากนี้ไปอยากทำอะไรกับเกนโซวเคียว ?
มิโกะ : ฉันตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสบายๆโดยที่ไม่มีใครมารบกวนน่ะ
มาริสะ : งั้นเหรอ ?
มิโกะ : ละทิ้งทางโลก แล้วใช้ชีวิตอย่างวิจิตรในโลกที่ไม่มีอะไรต้องกังวล นั่นคืออุดมคติเลยนะคะ
เบียคุเรน : ศึกษาวิชาเซียนเพื่อความไม่แก่ไม่ตาย
    แต่น่าเสียดายที่เกนโซวเคียวแห่งนี้มีศัตรูตามธรรมชาติของผู้เป็นอมตะอยู่นะคะ
มิโกะ : หมายถึงยมทูตเหรอคะ ?
เบียคุเรน : ใช่ค่ะ พวกเขาจะมาตามฆ่าเป็นระยะๆเลยนะคะ ?
มิโกะ : การต่อสู้กับยมทูตพวกนั้นก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งนะ
    แค่ต่อสู้อย่างสบายๆก็พอแล้วค่ะ
เบียคุเรน : ส่วนฉันไม่สนใจเรื่องความเป็นอมตะหรอกค่ะ
    ไม่สิ ว่ากันตามตรง เมื่อก่อนเคยสนใจอยู่ค่ะ
    แต่พอได้สัมผัสถึงจิตใจของเหล่าสานุศิษย์ ฉันเลยฝึกฝนจิตใจให้มีความมุทิตา(*11)อยู่ค่ะ
    *11 [เป็นวิธีคิดน่าสงสัยที่ชอบยัดเยียดว่า "ที่ทำไปนี่ก็เพื่อตัวคุณนะคะ ?"]
มาริสะ : แล้ว ?
เบียคุเรน : ฉันอยากช่วยเหลือเหล่าโยวไคที่ถูกกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมในเกนโซวเคียวและไม่ปรารถนาในสงครามค่ะ
มาริสะ : ช่วยยังไงวะ ?
เบียคุเรน : นำพาพวกเขาไปยังเวทีที่สูงขึ้นค่ะ
คานาโกะ : น่ากลัวนะ พอลองจินตนาการถึงโลกที่เต็มไปด้วยโยวไคที่รู้แจ้งหรือพระโพธิสัตว์โยวไค
    ฉันอยากสร้างโลกที่เป็นที่พึ่งพิงทางใจของทุกคน โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นมนุษย์หรือโยวไคค่ะ
    และนั่นก็คือศรัทธานั่นเอง
    การศรัทธาคือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างเปี่ยมสุขทางใจและไร้ซึ่งสิ่งกังวลทั้งปวงค่ะ
เบียคุเรน : เรื่องนั้นมันก็ถูกค่ะ
มิโกะ : แม้วิธีต่างกัน แต่แนวคิดเหมือนกันค่ะ
มาริสะ : สรุปว่านักศาสนาอย่างพวกเธอคิดจะมอบชีวิตที่เปี่ยมสุขทางใจให้พวกเราเพื่อสร้างวิถีชีวิตอันมั่งคั่งของตัวเองสินะ
คานาโกะ : ถ้าใช่แล้วไง ? ประเทศนี้มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาอยู่มาก คนที่รู้สึกต่อต้านการศรัทธาก็มีอยู่ไม่น้อยค่ะ
    สาเหตุหนึ่งก็คือมีศาสนาที่เอาศรัทธาไปใช้ในทางที่ผิดแพร่ระบาดอยู่นั่นเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเศร้าค่ะ
    แต่เดิมศาสนาเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ฝึกฝนเพื่อการพัฒนาทางด้านจิตใจเท่านั้น
    เหมือนกับนักกีฬาที่ใช้ทฤษฎีใหม่ล่าสุดในการฝึกฝนกล้ามเนื้อ
    คุณธรรมและทฤษฎีเพื่อเติมเต็มจิตใจให้รู้สึกถึงความสุขนั่นแหละ คือศาสนาในแบบดั้งเดิมค่ะ
    การทำให้เกนโซวเคียวอุดมสมบูรณ์เหมือนโลกภายนอกโดยที่มีจิตใจถึงพร้อมด้วยคุณธรรมนั่นล่ะคือหน้าที่ของพวกฉันค่ะ
มาริสะ : ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เธอเป็นคนพูดแล้วมันยังไงๆอยู่น้า......
    กลายเป็นเรื่องของโลกภายนอกได้ไงไม่รู้ ถ้างั้นเริ่มเข้าสู่หัวข้อต่อไปกันเลยดีกว่ามั้ง






Tips :
- วัดเมียวเรนจิอยู่ตรงท้ายหมู่บ้าน
- มาริสะบอกว่าเป็นหัวข้อลับ... แต่เธอพูดออกมาเองอย่างนี้ก็ไม่ลับแล้วล่ะ (ฮา)
- หมู่บ้านมนุษย์ไม่มีชนชั้นปกครอง แปลว่าแม้แต่ "ผู้ใหญ่บ้าน" ก็คงจะไม่มี
- ตรงที่เบียคุเรนพูดถึงมนุษย์ในเกนโซวเคียว เป็นเพราะว่าต้องมีมนุษย์ที่ยอมรับว่าโยวไคมีตัวตนอยู่จริง พวกโยวไคถึงจะคงตัวตนเอาไว้ได้
- Power Spot ศัพท์เฉพาะที่พบได้ในญี่ปุ่น หมายถึงสถานที่ที่มีพลังวิญญาณมารวมตัวกันแน่น สถานที่ที่เชื่อกันว่ามีผี ฯลฯ
- คานาโกะยอมรับว่าซานาเอะเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งไปแล้ว
- ยืนยันมั่นเหมาะว่าสุวะโกะเป็นเทพเจ้าแห่งกบ
- ตรง *9 คำว่า กำลังทานข้าว มาจากเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของเพลงกล่อมเด็ก
- สรุปว่านาซูรินเป็นคนหาเจอ จากเดิมที่ชาวโทโฮเข้าใจว่าเบียคุเรนเป็นคนทราบเอง



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้