CoLA - 022


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 22
「อวกาศที่โยวไคเคยเห็น」

 

「อ๊ะ, ตกลงมาสองดวงติดๆกันเลยว่ะ !」



「อื้ม
 อีกดวงเดียวก็จะครบสิบแล้วสินะ」

แว่วเสียงตื่นเต้นของคนสองคนภายในร้านที่ดับไฟแล้ว
ใกล้ถึงเวลายามฉลูที่สาม――เวลาที่แม้แต่เด็กร้องไห้ยังต้องหยุดร้อง, แต่เรย์มุกับมาริสะยังไม่ยอมเงียบสักที
(ยามฉลูที่สาม = ช่วง 2:30 - 2:59 น.)

สองคนนี้ยึดครองพื้นที่ภายในร้าน และดับไฟทุกดวงจนหมดสิ้น
ผมจึงไม่สามารถอ่านหนังสือหรือเขียนบันทึกประจำวันได้ เลยย้ายไปหาสองคนนั่นโดยอาศัยแสงจันทร์อันน้อยนิดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง

「พวกเธอสองคนนี่เหลือเกินจริงๆน้า, พอได้แล้วมั้ง
 『ฝนดาวตก』 แบบนี้ก็ไม่ได้หาดูยากสักหน่อย... ...」

「พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ
 โควรินเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ?
 บอกว่าดาวตกคืนนี้สุดยอดไปเลย, บอกว่าคืนนี้ต้องตกมาเกินร้อยดวงแน่ๆ」

「คิดว่าน่าจะตกมาประมาณร้อยดวงนั่นแหละ... ...คงไม่คิดจะดูจนครบหรอกนะ ?」

「อ้อ แหงอยู่แล้ว
 ฉันเตรียมคำขอพรมาเกินร้อยเลยล่ะ」
(คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ถ้ากล่าวขอพรได้ถึงสามครั้งก่อนที่ดาวตกจะหายไป พรนั้นจะเป็นจริง... ซึ่งแน่นอนว่ามันยากมาก)



――ภายในร้านโควรินโดวยามกลางวัน

วันที่เป็นเหตุให้ทั้งสองคน เรย์มุและมาริสะ หลงใหลชื่นชมในดาวตก

ผมกำลังจ้องมองวัตถุประหลาดที่เพิ่งเข้าร้านมา และถูกวางไว้บนโต๊ะ
ถึงจะบอกว่าเพิ่งเข้าร้านมา แต่ตัววัตถุนั้นมันเก่าแก่และเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งชิ้น
ส่วนที่ทำจากเหล็กก็มีสนิมขึ้นอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด

วัตถุชิ้นนี้ประกอบขึ้นจากทรงกลมขนาดประมาณผลแตงโมลูกใหญ่ กับขาทั้งสี่ที่คอยค้ำมันเอาไว้
ส่วนทรงกลมทำจากโลหะ และมีรูปร่างที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
เป็นลูกทรงกลมกลวงๆที่มีวงแหวนเหล็กโค้งซึ่งบางราวกับไม้บรรทัดหลายชิ้นประกอบกันอยู่, ทำให้นึกถึงลูกตะกร้อที่สานจากไม้ไผ่ขึ้นมาเลย
นอกจากนี้ วงแหวนเหล็กเหล่านั้นมีอยู่สองแบบ คือแบบที่แต่ละชิ้นยังสามารถหมุนได้อย่างอิสระ กับแบบที่ถูกยึดไว้กับขาจนไม่อาจขยับได้

น่าเสียดายที่วงแหวนเหล็กหลายชิ้นเป็นสนิมไปแล้ว จึงไม่สามารถหมุนอย่างคล่องตัวได้
หากปล่อยไว้แบบนี้ก็ไม่สามารถใช้เป็นสินค้าได้ ผมจึงคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างด้วยมือของผมเองเพื่อให้มันใช้งานได้อีกครั้ง



「อะไรน่ะ ? เจ้าลูกโลกพิลึกกลวงๆนี่」

「นี่ไม่ใช่ลูกโลกนะ, มาริสะ
 เอ๊ะ, เธอมาที่ร้านตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ?」

「นึกว่าโลกถูกเจาะเป็นรูซะอีก」

มาริสะถามว่า, ถ้าไม่ใช่ลูกโลกแล้วมันจะเป็นอะไรล่ะวะ ?

ลูกโลก ก็คือแบบจำลองของโลก สมดังชื่อของมัน
มนุษย์ที่อยู่ในเกนโซวเคียวแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาวที่ตัวเองอาศัยอยู่เลย
สาเหตุก็เพราะไม่อาจออกมาจากเกนโซวเคียว ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุบเขา ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลก

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อมูลหรืออุปกรณ์จากภายนอกเข้ามาสู่เกนโซวเคียวเลย
ลูกโลกก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ไหลจากโลกภายนอกเข้ามาสู่เกนโซวเคียว ซึ่งพวกเราสามารถรู้จักโลกที่ตัวเองอาศัยอยู่ได้ด้วยเจ้านี่
แต่สำหรับมนุษย์ชาวเกนโซวเคียวนั้น แม้จะมีความรู้ถึงเรื่องที่ละเอียดปลีกย่อย, แต่แผ่นดินที่ตนอาศัยกับโลกแห่งความรู้ก็มิได้เชื่อมโยงกัน
ต่อให้บอกว่าโลกถูกเจาะเป็นรู ก็คงจะเชื่อโดยง่ายดาย

ทว่า, อุปกรณ์ที่มองเห็นว่าเป็นลูกโลกนี้ไม่ใช่ลูกโลกแต่อย่างใด
มันเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้วัดสิ่งที่เราไม่รู้รายละเอียด ทั้งที่มันอยู่ใกล้เกนโซวเคียวเสมอมา, เช่นเดียวกับโลก

「มันคืออุปกรณ์ที่เรียกว่า 『ลูกโลกดารา』 น่ะ
 ถ้าลูกโลกเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รู้จักโลก, ลูกโลกดาราก็คืออุปกรณ์ที่ทำให้รู้จักอวกาศไงล่ะ」
(ลูกโลกดารา (Armillary Sphere) คือ ลูกโลกที่มีการระบุตำแหน่งของดวงดาวต่างๆเอาไว้ด้วยวงแหวน)



ลูกโลกดาราเป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนอย่างมาก แต่มันทำได้เพียงวัดระยะตำแหน่งของดวงดาวเท่านั้น

แต่ก็มีสาเหตุที่มันซับซ้อนแบบนั้น
ถึงจะเห็นว่าดวงดาวแค่ล่องลอยอยู่เท่านั้น แต่การวัดตำแหน่งที่แน่ชัดของมันก็เป็นเรื่องยาก
จะเอาไม้บรรทัดไปทาบก็ทำไม่ได้, แม้กระทั่งพื้นดินที่มองเห็นอยู่ไกลๆก็ยังมีความสูงต่างๆกันไปเพราะมีภูเขาบ้างต้นไม้บ้าง
ถ้าตีเส้นให้ท้องฟ้ายามราตรีเป็นเหมือนกับกระดาษกราฟ และมีดวงดาวที่ไม่เคลื่อนไหวมากพอจะใช้เป็นบรรทัดฐานก็คงจะง่ายขึ้น
แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้
การสังเกตตำแหน่งของดวงดาวทำให้นักดาราศาสตร์มากมายต้องปวดหัวมาตั้งแต่อดีตแล้ว
เพราะมันอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึงและไม่มีสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานอยู่ใกล้ๆ
จึงจำเป็นต้องสร้างอุปกรณ์ที่ซับซ้อนอย่างลูกโลกดาราขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

「แล้วเจ้านี่มันใช้ยังไงเหรอ ?」

「อืม---... ...เรื่องนั้นก็ กำลังจะเริ่มตรวจสอบน่ะ」

「อ๊ะ, โควรินก็ไม่รู้เหรอ
 แต่มันก็จริงอ่ะนะ, ทุกทีก็เป็นงี้」

รู้สึกเหมือนโดนดูถูกนิดหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง

「ไม่หรอก, ผมจินตนาการถึงวิธีใช้ได้แล้วล่ะ
 มองดาวด้วยท่อที่อยู่ตรงกลาง แล้วหมุนทรงกลมนี่ให้ตรงกับดาว จากนั้นก็อ่านว่ามีอะไรเขียนอยู่บนหน้าปัดตรงนี้... ...โอ๊ะโอ๋ ?」

ผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีอักษรประหลาดเขียนอยู่บนอุปกรณ์ชิ้นนี้
ผมนึกว่ามันเป็นหน้าปัดหรืออะไรสักอย่าง แต่มันไม่ใช่ตัวเลขที่เรียบง่ายเลย
มีความเป็นไปได้ที่คุณประโยชน์ของลูกโลกดาราอันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากด้วยอักษรประหลาดพวกนี้

「เป็นอะไรไป ? มีอะไรเขียนอยู่บนวงแหวนนั่นเหรอ ?」

「อืม, ก็มีอยู่ล่ะนะ
 ผมหลงคิดว่าอุปกรณ์นี้เป็นของจากโลกภายนอก... ...แต่อักษรที่เขียนอยู่ตรงนี้อาจจะล้มล้างความคิดนั้นลงก็เป็นได้」

「ไหนไหน ขอดูหน่อยได้ป่ะ ? หืมหืม, อ่านไม่ออกเลยว่ะ」

「เร็วจังเลยนะ」

อักษรประหลาดที่ถูกเขียนไว้บนลูกโลกดาราคือ ชื่อของหมู่ดาว

「ที่เขียนอยู่ตรงนี้คือ... ...หมู่ดาวนักพรตหิมะ หมู่ดาวยายแก่เปลวเพลิง หมู่ดาวภูตกล้วยน้ำว้า
 ท่าทางจะเป็นชื่อของหมู่ดาวนะ」

「หมู่ดาวอะไรวะนั่น, มีแต่ชื่อที่ Maniac สุดๆทั้งนั้นเลย」

「ไม่ใช่ปัญหาที่เรียบง่ายแบบนั้นสิ
 ไม่เคยได้ยินว่ามีหมู่ดาวพวกนี้เลยต่างหาก
 เอาเถอะ, อาจจะเป็นแค่การเขียนรายชื่อหมู่ดาวที่มีชื่อ Maniac สุดโต่งก็ได้
 แต่นั่นก็ยังแปลกอยู่ดี, สมมติว่าเป็นแบบนั้นจริง ชื่อหมู่ดาวพวกนี้... ...」

หมู่ดาวตาที่มือ, หมู่ดาวผีถังตก, หมู่ดาวโอโอเทนกุ... ...

「ไม่ว่าจะชื่อนี้หรือชื่อไหนก็เป็นชื่อของโยวไคญี่ปุ่นทั้งนั้นเลยนี่นา」





ผมคิดว่าไม่เพียงแต่พวกเรา――มนุษย์ชาวเกนโซวเคียวเท่านั้น แต่รวมถึงมนุษย์โลกภายนอกด้วย,
หมู่ดาวที่รู้จักกันดีนั้นส่วนใหญ่เป็นหมู่ดาวที่มาจากแผ่นดินใหญ่
และนี่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ก่อนที่เกนโซวเคียวจะตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงมีหมู่ดาวแบบญี่ปุ่นยุคโบราณอยู่ด้วย แต่ก็มีน้อยที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
และถ้าถามว่าแบบญี่ปุ่นเป็นยังไง, ก็คือการตั้งชื่อดาวแต่ละดวงตามสิ่งที่เกี่ยวพันกับดาวดวงนั้น แล้วทำการเคารพบูชา
... ...ผมคิดแบบนั้นมาตลอด, แต่พอได้เห็นลูกโลกดาราอันนี้ ก็คงถึงเวลาที่จะต้องปรับปรุงแนวคิดดังกล่าวแล้วล่ะมั้ง
เพราะมันเป็นไปได้ยากที่หมู่ดาวซึ่งตั้งชื่อตามโยวไคญี่ปุ่นจะมาจากแผ่นดินใหญ่
ถ้าหากหมู่ดาวที่ถูกตั้งชื่อด้วยภาษาญี่ปุ่นมีอยู่มากมายขนาดนี้, วิชาดาราศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นจะก้าวหน้าไปไกลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก.. ...ทว่า

「แต่ว่า... ...มีแต่ชื่อของโยวไคแฮะ
 ถ้าเป็นวิชาดาราศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น, น่าจะมีการใช้ชื่อของเทพเจ้าหรือวีรบุรุษมากกว่านี้นะ
 แบบนี้แทนที่จะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น... ...
 บางทีลูกโลกดาราอันนี้อาจจะไม่ใช่อุปกรณ์ของโลกภายนอก――」

อาจเป็นลูกโลกดาราของโยวไคก็เป็นได้
ถ้าเป็นเหล่าโยวไคที่มีชีวิตมานานหลายพันปี, จะมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
มีบ่อยครั้งที่เหล่าโยวไคดูถูกวิทยาการของมนุษย์
วิชาดาราศาสตร์เองก็คงจะสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองโดยไม่ใช้ดาราศาสตร์ของมนุษย์เลยล่ะมั้ง
หรือไม่ก็, ดาราศาสตร์ที่มนุษย์ใช้อยู่นั้นที่จริงแล้วเป็นวิชาที่พวกโยวไคคิดค้นขึ้น, จะคิดแบบนั้นก็ยังได้ด้วยซ้ำ

จะว่าไปแล้ว, เล่าขานกันว่าพวกโยวไคเคยไปที่ดวงจันทร์มาแล้วในอดีตกาลนานเกินพันปี
ส่วนมนุษย์ในสมัยนั้น น่าจะยังไม่รู้จักความหมายของดวงดาวและความหมายของพระจันทร์เลย
วิชาดาราศาสตร์ของโยวไคยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยทีเดียว



ดวงจันทร์เป็นหนึ่งในดาวที่สำคัญสำหรับโยวไค
เมื่อถึงวันเพ็ญเหล่าโยวไคก็จะจัดงานเลี้ยง เมื่อถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำเหล่าโยวไคก็จะทำตัวสงบเสงี่ยม
จึงสามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่าการวิจัยดวงจันทร์ของพวกโยวไคมีความก้าวหน้าไปมาก

แต่ทว่า, ชื่อของหมู่ดาวโยวไคที่ถูกเขียนลงในลูกโลกดารานี้ แสดงว่าโยวไคมิได้วิจัยเพียงดวงจันทร์ แต่ครอบคลุมถึงดวงดาวมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น, ธารสวรรค์(ทางช้างเผือก)ก็กลายเป็น แม่น้ำเทพยักษ์ ซึ่งมีเหล้าของยักษ์ไหลออกมาสู่พื้นพิภพ
ดาว Orion สามดวงที่เปล่งแสงอย่างแรงกล้าใกล้ๆกับแม่น้ำ ถูกเรียกว่า หมู่ดาวอิบุคิโดวจิ
ซึ่งน่าจะแสดงถึงพลังทั้งสามของอิบุคิโดวจิ――ได้แก่ ความกลมกลืน ขีดจำกัด และไร้ขีดจำกัด

ดาวเคราะห์ถูกเรียกว่าดาวเทนกุ ตามความสว่างและการเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอน
ลอยไปทางโน้นทางนี้ จึงอาจตีความว่าเป็นตัวตนที่คอยปั่นป่วนวงแหวนโยวไคก็คงได้

หมู่ดาวโยวไคนี้มีคำอธิบายเกี่ยวกับดาวหางด้วย
แถมยังตรวจสอบกระทั่งช่วงเวลาปรากฏของดาวหาง
จะบอกว่าโยวไคมีอายุยืนยาวจึงตรวจสอบเรื่องต่างๆได้ง่ายกว่ามนุษย์ก็คงว่าได้
ดูเหมือนดาวหางจะเป็นลางร้ายและเป็นที่หวาดกลัวของสังคมโยวไค มันจึงถูกเรียกว่า ดาวหายนะ ในหมู่ดาวโยวไค

นอกจากนี้ยังมี หมู่ดาวมังกรสวรรค์ ซึ่งถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่ใหญ่เป็นพิเศษ
ตรงจุดนี้นัยถึง เจ็ดดาวเหนือ นั่นเอง
คงหมายถึงมังกรสวรรค์ซึ่งคอยจ้องมองจุดหนึ่งอยู่เสมอและพร้อมที่จะบินออกไปได้ทุกเวลา
และดาวที่เป็นจุดหนึ่งนั้น ก็คือดาวเหนือนั่นเอง

ในหมู่ดาวโยวไคนั้น ดาวเหนือเป็นดาวที่ไม่เคลื่อนไหว กล่าวคือเป็นใบหน้ายามราตรีของฟุโดวซอน――ผู้เป็นร่างจำแลงของพระมหาไวโรจนะ
พระมหาไวโรจนะคืออวตารแห่งพระอาทิตย์ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่าทำให้โยวไคสูญสิ้นพลัง
แม้แต่ในยามราตรีก็ยังกลายร่างเป็นดาวเหนือเพื่อยับยั้งขบวนร้อยอสูรท่องราตรีของเหล่าโยวไคมิให้เกิดความรุนแรงป่าเถื่อนขึ้น
มังกรสวรรค์กำลังวางแผนครอบครองทั้งสวรรค์ในยามกลางวันและสวรรค์ในยามราตรี ด้วยการกินฟุโดวซอน――ดาวเหนือดวงนั้นในสักวันหนึ่ง
คำอธิบายได้ทำนายเอาไว้ว่า หลายพันปีหลังจากนี้ มังกรสวรรค์จะเคลื่อนไหว จากนั้นสังคมโยวไคจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เล่าถึงเรื่องในอีกหลายพันปีให้หลังแบบนี้, มนุษย์ไม่อาจเทียบความมองการณ์ไกลกับโยวไคได้เลย
และเพราะเหตุนี้จึงเป็นคำอธิบายที่น่าเป็นห่วง แต่ว่า... ...



「อธิบายให้ฟังซะละเอียดจนเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยแฮะ, เอาเป็นว่ามีเรื่องอยากถามอย่างหนึ่ง
 ฉันรู้แล้วล่ะว่าเราสามารถรู้ตำแหน่งของดวงดาวและชื่อหมู่ดาวโยวไคได้จากอุปกรณ์ชิ้นนี้, แต่ไอ้นั่นล่ะ ? ตัวเอกของท้องฟ้ายามราตรีน่ะ... ...」

「ตัวเอกของท้องฟ้ายามราตรี ? หมายถึงดวงจันทร์น่ะเหรอ ? 」

ดวงจันทร์เป็นดาวที่สำคัญสำหรับโยวไค
ตัวเอกของท้องฟ้ายามราตรีก็ต้องเป็นดวงจันทร์อยู่แล้ว

「ไม่ใช่ว้อย
 ไม่ใช่ดวงจันทร์... ...」

「มีดาวอื่นที่ไม่ใช่ดวงจันทร์รับบทเป็นตัวเอกด้วยเหรอ ?」

「ไอ้นั่นไง, ดาวที่ตกมาแค่พริบตาเดียวแล้วหายไปก็เลยโดดเด่นที่สุดน่ะ」

「พริบตาเดียว... ...หรือว่าหมายถึงดาวตก ?」

「เออ, นั่นแหละ
 ฉันชอบดาวตกที่สุดในบรรดาดวงดาวทั้งหมดเลยล่ะ
 จะได้ขอพรซะด้วยเลย」

อย่างนี้นี่เอง ดาวตกงั้นเหรอ... ...สมกับเป็นมาริสะผู้ชื่นชอบของฉูดฉาดบาดตา
แต่ว่าผิดแล้วล่ะ, นั่นไม่ใช่ดาวสักหน่อย

「ดาวตกไม่ใช่ดาวนะ」

「ก็เรียกว่าดาวตกนี่นา ? มันก็ดาวไม่ใช่เหรอ」

「ดาวตกน่ะ... ...คือเกล็ดของมังกรที่ทะยานสู่สวรรค์, หรือก็คือมังกรสวรรค์, ที่หลุดร่วงลงมาแล้วส่องแสงน่ะ
 เพราะงั้นจึงไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งได้ด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้」

「หืม---, ก็มันเคลื่อนไหวได้นี่นะ
 นึกแล้วเชียวว่าต้องวัดไม่ได้ น่าเสียดายแฮะ」

「ทำไมถึงเสียดายล่ะ ?」

「ถ้ารู้ว่ามันจะตกมาตอนไหนก็จะขอพรได้มากเท่าที่ต้องการเลยไงล่ะ
 ถ้าว่างพอจะวิจัยดาวดวงอื่น, น่าจะเอาเวลามาวิจัยดาวตกมากกว่านะ」

「คิดว่าไม่ได้ทำวิจัยเพราะว่างหรอกนะ... ...
 แต่มันก็จริงที่ไม่รู้ว่าดาวตกจะตกมาเมื่อไหร่
 แต่รู้วิธีดูดาวตกที่ถูกต้องอยู่นะ」

「ว่าไงนะ ? พูดจริงเหรอ ? ถ้างั้นช่วยสอนหน่อยสิ」

「ในหนึ่งปีจะมีอยู่หลายวันที่ดาวตกร่วงโรยลงมามากมาย
 ถ้าดูดาวตกในวันนั้น แค่วันเดียวน่าจะเห็นดาวตกเป็นสิบ... ...ไม่สิ ถึงร้อยดวงเลยล่ะมั้ง」



――ด้วยเหตุนี้เอง, ผมจึงบอกวันที่สามารถเห็นฝนดาวตกได้ให้มาริสะรู้
และทันทีที่วันนั้นมาถึง มาริสะก็พาเรย์มุมาจัดงานชื่นชมฝนดาวตกในร้านของผม

เวลาล่วงเลยมานานแค่ไหนแล้วกันนะ
ทั้งสองคนกำลังนับดาวตกถึงดวงที่สิบห้า

「สุดยอดเลยว่ะ ! ท่าทางจะตกถึงร้อยดวงได้จริงๆนะเนี่ย」

「แต่เริ่มเพลียแล้วล่ะนะ」

ฉันไม่เหนื่อยเลย, มาริสะพูดจบก็ยิ่งสนใจโชว์ดวงดาวที่นอกหน้าต่าง

「อ๊ะ, ดวงที่สิบหก
 เอ่อ---, สาปสาปสาป(呪)」 เรย์มุบ่นพึมพำ

「อะไรวะนั่น」

「ก็ขอพรสามครั้งในระหว่างที่ดาวตกลงมามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่นา
 เลยลองย่อคำขอพรให้สั้นลงเท่าที่จะทำได้น่ะ」

「ย่อสั้นเกินไปแล้วว้อย
 ว่าแต่ มันเป็นคำขอพรแบบไหนล่ะนั่น... ...」

「คำขอเกี่ยวกับวิชาอาคม(呪術)น่ะ
 มาริสะกำลังขอพรเกี่ยวกับอะไรล่ะ ?」

「ขอว่า, อยากใช้เวทมนตร์ที่ทรงพลังกว่านี้ น่ะ」

ทั้งสองคนกระตือรือร้นเมื่อได้เห็นดาวตกนับร้อย แต่ช่วงเวลาที่ดาวตกขาดช่วงเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายทั้งสองก็เพลียจนไม่รู้ว่าดาวตกร่วงมาแล้วกี่ดวง และหลับไปในที่สุด
งานขอพรดาวตกครั้งที่หนึ่งจึงปิดม่านลงด้วยประการละฉะนี้



――หลังจากตอนนั้นผ่านมาราวสี่, ห้าปี ก็คือปัจจุบันนี้

ผมกำลังจ้องมองลูกโลกดาราแห่งความทรงจำ
นับจากตอนนั้น งานขอพรดาวตกก็ถูกจัดขึ้นทุกปี และถูกจัดไปหลายครั้งแล้ว

จะว่าไปแล้ว, รู้สึกว่านับตั้งแต่งานขอพรดาวตกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา, มาริสะก็เริ่มใช้เวทมนตร์ที่เกี่ยวกับดวงดาว
ตอนนี้ถ้าพูดถึงดาวตกเวทมนตร์ มันก็คือท่าที่มาริสะชำนาญเป็นที่สุด
นอกจากนี้, ทุกปีเธอจะมาถามถึงวันที่จะมีฝนดาวตก และดูเหมือนจะเริ่มดูดาวตกด้วยตัวคนเดียวด้วย

มาริสะคงหลงเสน่ห์มังกรสวรรค์เข้าแล้วล่ะมั้ง
หรือว่าคำขอพรของเธอเป็นจริงแล้วกันแน่นะ

ส่องแสงอย่างแรงกล้าแล้วหายไปในทันที ต่างจากดวงดาวอื่นที่เคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน
บางครั้งก็กลายเป็นอุกกาบาตแล้วตกมาจนถึงพื้นพิภพ ทั้งยังมีพลังอันแข็งแกร่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
เธอมองเห็นอะไรในดาวตกพวกนั้นกันแน่นะ

「โอ้---, ลูกโลกดาราของโยวไคงั้นเหรอ
 น่าคิดถึงจังเลยว่ะ, ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอเนี่ย」

「อืม บางครั้งก็เอาออกมาดูน่ะ... ...เอ๊ะ, เข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ?」

「โควรินก็แค่กำลังเพลินจนไม่รู้สึกตัวว่าฉันเข้ามาเท่านั้นแหละ」

「นึกถึงเรื่องในอดีตนิดหน่อยน่ะ... ...อื๋อ !?」

「มีอะไรเหรอ ?」

ผมเคยอ่านชื่อหมู่ดาวที่ถูกเขียนอยู่บนลูกโลกดารานี้แบบคร่าวๆ
ตรงนี้มีชื่อของโยวไคมากมายถูกเขียนเอาไว้ และผมได้พบกับชื่อของโยวไคที่น่าตกใจ
มันไม่ใช่ชื่อของหมู่ดาว และโดดเด่นเป็นอย่างมาก

「... ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก」

「แต่ท่าทางจะมีนี่นา」

ใช่แล้ว
เรื่องเล่าขานที่ว่าเคยไปเยือนดวงจันทร์ในอดีตกาลนานเกินพันปี
ที่จริงไม่ต้องเล่าขานหรืออะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องที่ถามจากปากของโยวไคตนนั้นเลยมากกว่า
กล่าวคือ โยวไคตนนั้นยังอยู่ในเกนโซวเคียว และยังคอยกุมอำนาจแห่งเกนโซวเคียวอยู่เบื้องหลัง

ลูกโลกดารานี้เขียนชื่อของโยวไคตนนั้นเอาไว้
แถมยังถูกเขียนในฐานะชื่อของผู้สร้างด้วย

「ไหนไหน ? โอ้ อักษรตรงนี้รู้สึกว่าจะอ่านออกว่ะ
 『ผู้เขียน ยาคุโมะ... ...ยูคาริ』 ?
 แหงะ, ลูกโลกดาราเนี่ย, อย่าบอกนะว่าเป็นอุปกรณ์ที่ยัยนั่นสร้างขึ้น ?」

มาริสะแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาอย่างชัดเจน แต่ผมกลับยอมรับได้อย่างน่าประหลาด
สาเหตุก็เพราะ จุดที่เขียนอักษรนี้คือจุดที่เขียนชื่อหมู่ดาว
แถมยังระบุว่า 『ผู้เขียน』 ไม่ใช่คำว่า 『ผู้สร้าง』

「อะไรกันเนี่ย
 อุปกรณ์นี่เป็นของที่โยวไคเจ้าปัญหานั่นสร้างขึ้นงั้นเหรอ
 ไม่ตลกเลยนะ」

「แสดงว่าเธอหัวดีและมีความรู้มากมายขนาดนั้นเลยไงล่ะ
 มาริสะลองไปเรียนรู้จากเธอด้วยความรู้สึกที่จริงจังบ้างก็คงจะไม่เลวนะ」

「ไม่เอาด้วยหรอก
 อีกอย่าง แค่สร้างอุปกรณ์พรรค์นี้ได้เนี่ย ยังบอกไม่ได้หรอกว่าหัวดีจริงรึเปล่า」

「เธอนี่ยังขาดพลังในการคาดคะเนและความอ่อนน้อมถ่อมตนนะ」

มันไม่ได้หมายความว่า ยาคุโมะ ยูคาริ เป็นโยวไคที่สร้างลูกโลกดาราอันนี้
บางทีอาจเป็นผู้ประพันธ์ชื่อหมู่ดาวโยวไคที่ถูกเขียนไว้บนลูกโลกดารา, กล่าวคือ, หมายถึงผู้สร้างหมู่ดาวนั่นเอง

เกนโซวเคียวที่บุคคลเหล่านั้นยังคงกระตือรือร้น
ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องพลังของโยวไคที่มีอายุขัยยาวนานเลยจนกระทั่งเมื่อครู่นี้, พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกหนาวนิดๆ





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- ถ้าอ้างอิงตามคำบรรยายเกี่ยวกับลูกโลกดารา จะเห็นได้ชัดเจนว่ามันมีความแตกต่างกับภาพประกอบเป็นอย่างมาก
   บางทีอาจเป็นการสื่อถึงผู้อ่านว่า ภาพประกอบที่มิได้วาดโดยท่าน ZUN นั้นมิอาจใช้อ้างอิงเนื้อหาได้...ก็เป็นได้
- อิบุคิโดวจิ (ชื่อเดิมของชุเทนโดวจิ) เป็นยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานญี่ปุ่น และเป็นต้นแบบของตัวละคร อิบุคิ ซุยกะ
   แม้แต่เรื่องพลังทั้งสามก็เป็นต้นแบบของซุยกะเช่นกัน โดยแสดงออกมาในรูปของ ทรงกลม สามเหลี่ยม และลูกบาศก์ ที่เธอห้อยติดตัว
- ทั้งที่มีตัวละครซุยกะอยู่ในเรื่องแล้ว แต่กลับมีชื่อของอิบุคิโดวจิปรากฏขึ้นมาในเรื่องได้อีก โดยถูกพูดถึงในลักษณะว่าเป็นคนละตัวตนกัน
   จึงมีความเป็นไปได้ว่า แม้จะถูกใช้เป็นต้นแบบของตัวละครโทโฮไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องหายไปจากเรื่องราวของโทโฮเลย
- ฟุโดวซอน เป็นอีกชื่อหนึ่งของ ฟุโดวเมียวโอว เทพที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
- ตอนที่ 22 นี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณปลายปี 2006 ส่วนโทโฮภาค 6 เกิดเหตุในช่วงปี 2003
   ในบทนี้บอกว่ามาริสะเริ่มฝึกเวทมนตร์เกี่ยวกับดวงดาวเมื่อ 4-5 ปีก่อน แสดงว่าเป็นช่วงก่อนภาค 6 เสียอีก
- ระบุไว้ชัดเจนว่า มาริสะชำนาญเวทมนตร์เกี่ยวกับดวงดาวเป็นที่สุด
- แสดงว่ารินโนะสุเกะพยายามเขียนบันทึกประจำวันมาตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีก่อนแล้ว
- มาริสะในสมัยก่อนอ่านตัวอักษรคันจิไม่ค่อยออก แต่ปัจจุบันเธออ่านออกแล้ว
- มาริสะรู้จักและสนิทกับเรย์มุมานานมาก และแสดงว่าสองคนนี้มาป่วนที่ร้านโควรินโดวตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
- บางทียูคาริอาจเอาลูกโลกดาราของโลกภายนอกมาเขียนเพิ่มเข้าไปก็เป็นได้ หรืออาจจะสร้างเองจริงๆก็เป็นได้
- ยูคาริเคยไปเยือนดวงจันทร์ในอดีตกาลนานเกินพันปี รายละเอียดตามสงครามผิวจันทร์มายา ครั้งที่ 1



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้