SoP - Article 2


東方求聞口授 ~ Symposium of Post-mysticism.
โทวโฮวกุมอนคุจุ (ใคร่รู้คำสอนแห่งตะวันออก) ~ งานประชุมสัมมนาแห่งยุคหลังความเชื่อทางศาสนา


.........................................................................................................................................................................................

บทที่ 2
สถานการณ์ปัจจุบันของโลกที่อยู่ภายนอกเกนโซวเคียว



มาริสะ : เธอ (ชี้คานาโกะ) อยู่ที่โลกภายนอกมาจนถึงเมื่อเร็วๆนี้เลยนี่เนอะ
คานาโกะ : ใช่แล้ว
มาริสะ : ก้าวหน้าน่าดูเลยล่ะสิ โลกทางโน้นน่ะ

[ระดับจิตใจของมนุษย์โลกภายนอก]

คานาโกะ : ก้าวหน้า ? ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหมายถึงอะไรน่ะ
    ถ้าในแง่ของวิทยาการ เกนโซวเคียวทาบไม่ติดเลยล่ะ
    สิ่งที่ต้องการส่วนใหญ่สามารถทำให้เป็นจริงได้ อันตรายที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตก็ลดต่ำลงจนถึงขีดสุด
    ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม อยากได้ความรู้เมื่อใดก็สามารถเติมเต็มได้ทุกเมื่อ
    แทบไม่ต่างจากสรวงสวรรค์เลย
มิโกะ : ดีจังเลยนะค้า แต่ว่าจิตใจของมนุษย์เติบโตเพียงพอที่จะรับสิ่งเหล่านั้นรึยังล่ะ ?
คานาโกะ : ใช่แล้ว หลักแหลมมากค่ะ
    เนื่องจากไม่มีผู้ที่ฝึกตนอย่างจริงจัง จิตใจของมนุษย์จึงไม่ต่างกับเมื่อ 1,000 ปีก่อนเลยค่ะ
    แต่พอกลายเป็นโลกที่ถูกเติมเต็มด้วยข้อมูลและวัตถุแล้ว ในที่สุดมนุษย์ทั่วไปก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วล่ะค่ะ
    ว่าการเติมเต็มด้วยวัตถุนอกกายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้มีความสุขได้อย่างแน่นอน
มาริสะ : งั้นเหรอ ? ฉันมีของที่อยากได้แต่ยังไม่ได้มาไว้ในกำมืออยู่เพียบเลย
    และฉันคิดว่าจะใช้วิธีอะไรก็ถือว่าดี(*1)ทั้งนั้นถ้าทำให้ได้มันมาครอบครอง
    แต่ได้มาแล้วก็ไม่ทำให้มีความสุขงั้นเหรอ ?
    *1 [ไม่ดีย่ะ]
คานาโกะ : ถ้าขวนขวายจนได้มาด้วยกำลังและความพยายามของตัวเองอย่างเจ้าก็คงจะน่าพอใจแล้วล่ะ
    แต่ถ้าได้มาตั้งแต่แรก มีวิธีการได้ที่แน่นอน หรือทำยังไงก็ไม่มีวันได้มา เจ้าคิดว่าไงล่ะ ?
มาริสะ : หืม ก็คงต้องใช้เวลาและแรงกายไปตามปกติล่ะนะ
คานาโกะ : วัตถุและข้อมูลมีมากเกินไปจนการทำงานกลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและแรงกายค่ะ
    ทัศนคติใหม่ในการทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติมเต็มจิตใจของมนุษย์......
เบียคุเรน : นั่นคือการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม(*2)สินะคะ
    *2 [แนวคิดที่ว่าการอุทิศตนเพื่อคนอื่นเป็นคุณธรรมอันดีงาม ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ทั้งกายและใจ]
คานาโกะ : ใช่แล้ว ถูกต้องตามนั้นค่ะ
    เนื้อแท้ของงานเปลี่ยนไปเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น

(สามสาวพยักหน้า)

มาริสะ : ทำไมทุกคนถึงเห็นพ้องต้องกันล่ะ คุยอะไรกันอยู่เนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลยว้อย
คานาโกะ : (พยายามไม่สนใจมาริสะ) แต่ปัจจุบันประเทศนี้ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเพราะความไม่พร้อมทางด้านจิตใจค่ะ
    การยกระดับจิตใจจำเป็นต่อการเติมเต็มความสุขทางใจ แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
    มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับมนุษย์ที่ไม่ได้เป็นนักบุญมาตั้งแต่เกิดหรือมนุษย์ที่ยังไม่ตรัสรู้แจ้ง
    สิ่งที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ก็คือตัวตนของเทพ เป็นแนวคิดที่ว่ามนุษย์หวาดกลัวเทพแล้วเทพจะให้อภัยมนุษย์ค่ะ
    หากคิดเช่นนี้แล้วแม้แต่มนุษย์ธรรมดาก็สามารถอุทิศตนแก่ผู้อื่นได้ด้วยทัศนคติด้านศีลธรรมแบบเดียวกันค่ะ
มาริสะ : อะไรวะ จะบอกว่าให้เกรงกลัวตัวเธองั้นเรอะ ?
    สุดท้ายก็แค่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองนี่หว่า
    แต่โลกภายนอกสมัยนี้เขาไม่ยอมรับตัวตนของเทพกันแล้วไม่ใช่เหรอ ?
คานาโกะ : เรื่องนั้นยุ่งยากสุดๆเลยล่ะ
    ทั้งที่ตัวตนของเทพหรือโยวไคจำเป็นต่อการฝึกตนแท้ๆ

[โยวไคที่ยังประจำการอยู่ ณ โลกภายนอก]

เบียคุเรน : จะว่าไปแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ลูกศิษย์คนหนึ่งของฉันเขาพาโยวไคจากโลกภายนอกเข้ามาด้วยล่ะค่ะ
คานาโกะ : เอ๊ะ ? เพิ่งรู้เรื่องนะคะเนี่ย
เบียคุเรน : ลูกศิษย์ที่ชื่อ โฮวจูว นุเอะ น่ะค่ะ เธอเป็นลูกศิษย์เจ้าปัญหาคนหนึ่งเลยทีเดียว
    ไม่รู้เลยว่าปกติแล้วเธอฝึกตนที่ไหนอย่างไร(*3) แถมพอลงมือทำอะไรสักอย่างก็มีแต่เรื่องที่ไม่ได้ขอทั้งนั้นเลย......
    อย่างคราวนี้ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะพาปิศาจทานุกิที่รู้จักกันเข้ามาจากภายนอก
    *3 [คิดว่าเธอฝึกตนอยู่จริงๆเหรอคะ]
คานาโกะ : ปิศาจทานุกิงั้นเหรอ ยังมีอยู่ที่โลกภายนอกอีกเหรอคะเนี่ย เกินคาดจริงๆ......
มาริสะ : นี่เธอ......เทพอย่างเธอเองก็ยังอยู่ที่โลกภายนอกจนถึงเมื่อเร็วๆนี้เลยไม่ใช่เรอะ
    ถ้างั้นจริงๆแล้วที่โลกภายนอกก็น่าจะยังมีอะไรหลายๆอย่างอยู่อีกเพียบเลยสิ ?
    ว่าแต่ก่อนหน้าที่เกนโซวเคียวจะเป็นแบบนี้(*4) โลกภายนอกเป็นโลกแบบไหนกันล่ะ ?
    *4 [สมัยก่อนเกนโซวเคียวเป็นแค่บ้านนอกกลางหมู่เขาเท่านั้น]
    *4 [ปัจจุบันนี้ก็ยังมีผืนดินเชื่อมต่อกับโลกภายนอก แต่ไม่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระเพื่อรักษาตัวตนของโยวไคเอาไว้]
มิโกะ : นั่นสิน้า ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับโยวไคหรือภูตผีปิศาจออกมาได้ทุกวี่ทุกวัน
    ใครบางคนถูกเล่นงานที่ไหนสักแห่ง แล้วก็มีใครบางคนจากที่ไหนสักแห่งมากำราบจนได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ
    เรื่องเล่าจำพวกนี้กลายเป็นของประจำวงเหล้าไปเลยล่ะค่ะ
เบียคุเรน : นั่นสินะคะ---
มาริสะ : แบบนั้นก็ไม่ต่างจากเกนโซวเคียวในตอนนี้เลยน่ะสิ
มิโกะ : ใช่แล้ว ไม่แตกต่างค่ะ เพราะงั้นคนยุคโบราณอย่างฉันจึงสามารถกลมกลืนเข้ากับที่นี่ได้โดยไม่ติดขัดแต่อย่างใด
    อันที่จริงฉันมีลูกศิษย์อยู่สองคนชื่อ ฟุโตะ กับ โทจิโกะ (*5)
    รู้มั้ยคะว่าทั้งสองเคยหวาดกลัวโยวไคและคำสาปอยู่ทุกวัน ?
    แต่ไม่นานก็กลายเป็นฝ่ายใช้วิญญาณแห่งโมโนโนเบะกับคำสาปแห่งโซะกะข่มขู่กลับไปซะงั้น (ฮา)
    คงจะเพิ่งรู้ซึ้งถึงตัวตนที่แท้จริงของโยวไคตอนที่เป็นแบบนั้นล่ะมั้ง
    *5 [นัยถึง โมโนโนเบะ โนะ ฟุโตะ กับ โซะกะ โนะ โทจิโกะ ดูเหมือนจะเป็นเครือตระกูลที่มีชื่อเสียงค่ะ]

[ตัวตนที่แท้จริงของโยวไคในความหมายดั้งเดิม]

มาริสะ : ตัวตนที่แท้จริงของโยวไคคือ ?
มิโกะ : จิตใจของมนุษย์ที่หวาดกลัวและหวาดเกรงต่อสิ่งที่ไม่รู้ตัวตนแน่ชัดค่ะ
คานาโกะ : ถ้าพูดแบบนั้นเรื่องมันก็จะกลายเป็นว่า "ฉันคือตัวตนที่เกิดขึ้นจากความเพ้อฝันของมนุษย์งั้นเหรอ ?" ไปน่ะสิคะ
    ความเพ้อฝันไม่มานั่งคุยนั่งดื่มเหล้าแบบนี้หรอกนะ (ฮา) (※พูดจบแล้วหยิบเหล้าออกมา)
มิโกะ : ไม่ใช่ว่ามนุษย์เพิ่งคิดอย่างนั้นเมื่อเร็วๆนี้นะคะ มนุษย์ที่คิดแบบนั้นมาตั้งแต่สมัยก่อนก็มีเหมือนกัน
    เหมือนสำนวนที่ว่า 「ต้นหญ้าเห็นตัวจริงของผีแล้วยังเหี่ยวเฉา」 ไงล่ะ
    อ๊ะ ขอดื่มเหล้าเลยนะคะ
    (※คานาโกะส่งเหล้าให้เบียคุเรนด้วย)
เบียคุเรน : อ๊ะ เรื่องเหล้าต้องขอผ่านค่ะ ศาสนาพุทธมีศีล(*6)ข้อที่ว่าห้ามดื่มเหล้าอยู่......
    *6 [หนึ่งในกฎที่ศาสนิกชนผู้ฝึกตนต้องปฏิบัติตาม ช่างอ่อนโยนต่อตับยิ่งนัก]
มิโกะ : อ๋อ--- นั่นสินะ---
    แต่ในยุคของฉัน(*7)น่ะไม่เคยมีพระรูปไหนรักษาศีลจริงจังหรอก
    พระทุกรูปล้วนเหม็นคาวฉาวโฉ่ทั้งนั้น
    *7 [ประมาณ 1,400 ปีก่อน แต่ไม่แน่ชัดว่าตอนนี้เป็นอย่างไร]
เบียคุเรน : ฉันไม่แพ้ให้กับสิ่งยั่วยุแบบนั้นหรอกค่ะ
คานาโกะ : 「สิ่งที่เหนือกว่า มารยาทในการพูด และการแสดงปัญญา คือการดื่มเหล้าเมาแอ๋ แล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร」
    โอโอโทโมะ โนะ ทาบิโตะ (*8) เคยร้องเพลงไว้แบบนั้นนะ---
    *8 [นักกวีในยุคนาระ ดูเหมือนจะเป็นคนรักเหล้าเอามากๆ]
มิโกะ : ดีจังเลยน้า---
    แปลว่าการดื่มเหล้าจนเมาแล้วร้องไห้นี่ยอดเยี่ยมกว่าการพูดคุยกันอย่างชาญฉลาดสินะ
    ตอนนี้มีพระอยู่รูปหนึ่งกำลังพูดเรื่องรักษาศีลอยู่พอดี แต่ถ้ามองจากมุมของคนอื่นแล้วอันที่จริง......
เบียคุเรน : อย่าแกล้งกันสิคะ......
มาริสะ : (มาริสะฉกเหล้าส่วนของเบียคุเรนมา) เอ้า กลับเข้าเรื่องเหอะ สรุปว่าเมื่อก่อนไม่ว่าที่ไหนก็อารมณ์เดียวกับเกนโซวเคียวสินะ
    อย่างน้อยก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับโยวไค ประมาณนั้นสินะ ?
มิโกะ : ใช่แล้ว
เบียคุเรน : ในยุคของฉันก็คล้ายๆกันค่ะ
    แต่บางทีเทียบไปแล้วเหล่าโยวไคในยุคนั้นอาจถูกไล่ต้อนจนอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบยิ่งกว่าในเกนโซวเคียวเสียอีกค่ะ
มาริสะ : โฮ่
เบียคุเรน : โยวไคกลายเป็นศัตรูของมนุษย์ไปอย่างสมบูรณ์
    เจ้ามนุษย์นี่เป็นพวกเดียวกับโยวไค... หากถูกเข้าใจผิดแบบนั้น สุดท้ายก็จะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านในฐานะพันธมิตรของโยวไคค่ะ
    อุดมคติของมนุษย์คือ 「โลกที่ไม่มีโยวไค」 ค่ะ
คานาโกะ : แบบนั้นตรงข้ามกับโลกภายนอกในยุคปัจจุบันเลยนะคะ
    เพราะว่าความเป็นจริงในความคิดของมนุษย์ยุคปัจจุบันคือ โลกที่ไม่มีโยวไค แต่มีอุดมคติว่าอยากให้โลกนี้มีโยวไคค่ะ
เบียคุเรน : โลกในอุดมคติคืออยากให้มีโยวไค !?
คานาโกะ : ใช่แล้วค่ะ
    ถ้ามีอยู่คงสนุกน่าดูเลยน้า น่าตื่นเต้นจังเลยน้า แต่มันดันไม่มีอยู่ในความเป็นจริงเนี่ยสิ
    นั่นแหละค่ะคือแนวคิดของมนุษย์ยุคปัจจุบัน
เบียคุเรน : เกินคาดจริงๆ......
มิโกะ : สรุปว่ามนุษย์ไม่ต้องการตัวตนที่เป็นภัยต่อความเป็นความตายของตน แต่ในใจลึกๆกลับปรารถนาให้มีศัตรูปรากฏตัวขึ้น แบบนั้นสินะคะ ?
มาริสะ : เอ๋ ? มันจะเป็นแบบนั้นได้ไง ? ไม่ขัดแย้งกันเองไปหน่อยเหรอ ?
คานาโกะ : อาจจะเป็นอย่างที่คุณมิโกะพูดก็ได้นะคะ
    เพราะมนุษย์ไม่อาจรู้สึกถึงการมีชีวิตของตนได้ถ้าไม่มีศัตรูอยู่นั่นเอง

[การทดลองสิ่งลี้ลับของโลกภายนอก]

มาริสะ : อืม--- ชักจะจินตนาการไม่ออกแล้วว่ะ
    แต่ยังไงก็ผิดคาดที่มนุษย์โลกภายนอกคิดว่ามีโยวไคแล้วจะดีกว่าแฮะ
คานาโกะ : ไม่ใช่แค่โยวไค พวกเขาคิดแบบนั้นกับเทพเจ้าด้วยนะ
มาริสะ : ถ้างั้นการที่พวกเธอย้ายมาอยู่ในเกนโซวเคียวก็ไม่มีความหมายน่ะสิ ?
คานาโกะ : อยากให้มีอยู่ = เชื่อว่ามีจริง ...ซะเมื่อไหร่ล่ะ
    พวกเขาอยากให้มีแต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าไม่มีทางมีอยู่จริง
    ยกศาลเจ้ามาเป็นตัวอย่างละกัน
    ศาลเจ้าในเกนโซวเคียวมีเทพอาศัย มนุษย์มาเยือนเพื่อมอบศรัทธาแด่เทพ เทพได้รับศรัทธาแล้วมอบพลังลี้ลับอะไรสักอย่างแก่มนุษย์
    นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า อานิสงส์
มาริสะ : อ้าว ? ถ้าไปศาลเจ้าแล้วจะได้พลังลี้ลับอะไรสักอย่างมาด้วยเหรอ ?
คานาโกะ : แบบว่า......ถ้ามอบศรัทธาให้อย่างจริงจังน่ะนะ
    แต่ว่าศาลเจ้าที่โลกภายนอกนั้นไม่เหมือนกัน
    ผู้คนมาเยือนด้วยเหตุผลที่ว่า 「ไม่ได้ศรัทธาอะไรหรอก แต่อาจจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นก็ได้ ขอพรไว้ก่อนดีกว่า」
    กรณีแย่ๆก็จะถูกเรียกว่า Power Spot......
มิโกะ : Power Spot ?
คานาโกะ : หมายถึงสถานที่ที่มีพลังงานธรรมชาติซึ่งมันจะเข้ามาในร่างกาย...... แบบว่าแค่ไปที่นั่นก็จะได้รับพลังมาอย่างง่ายดายน่ะค่ะ
มิโกะ : โหดร้าย (ฮา)
เบียคุเรน : Power Spot หมายถึงสถานที่ฝึกวิชาเหรอคะ ?
    แบบนี้ความหมายไม่สับสนกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดอภินิหารรึไงน้า
คานาโกะ : นั่นสินะ จะว่าไปแล้วก็มีความหมายไม่ต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
    แต่ไม่รู้ว่าถ้าไปฝึกวิชาแล้วจะได้รับพลังเซียนเทพอะไรมารึเปล่า และอย่างที่บอกไปเมื่อกี้ว่ามนุษย์โลกภายนอกไม่เชื่อเรื่องเซียนและเทพ
    โดยรวมๆแล้วพวกมนุษย์โลกภายนอกนั้นคิดแค่เพียงว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้ Power Up ได้ง่ายๆเท่านั้นเอง
มาริสะ : Power Up ?
คานาโกะ : ห่ากระสุนหนาแน่นขึ้นไงล่ะ (ฮา)
    แต่ว่าไปแล้วที่โลกภายนอกเองก็มีการพูดคุยเรื่องสิ่งลี้ลับแบบนี้เหมือนกันนะ
    เพราะโดยพื้นฐานแล้วยังไงพวกมนุษย์ก็กลัวผีอยู่ดี
มาริสะ : โฮ่ ถ้าจำไม่ผิดในเกนโซวเคียวเองก็มีมนุษย์แบบนั้นอยู่เหมือนกันแฮะ
คานาโกะ : แต่มนุษย์โลกภายนอกแทบไม่มีใครเชื่ออย่างจริงจังเลยว่าผีมีตัวตนอยู่จริง ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจ
    แบบว่า 「ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลัวทั้งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่สิ หรือว่ามีอยู่จริงกันนะ ? ไม่ไม่ ไม่มีทางมีอยู่จริงแน่ๆ」 อะไรทำนองนั้น (ฮา)
    อันที่จริงนอกจาก Power Spot แล้วยังมีอีกแบบที่เรียกว่า Mystery Spot ด้วย......หมายถึงสถานที่ที่สามารถพบเห็นผีได้
    ส่วนเรื่องที่ว่า Mystery Spot เป็นสถานที่เที่ยวเล่นของพวกผีนั้นฉันเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในเกนโซวเคียวนี่ล่ะ
มาริสะ : งั้นเหรอ ?
คานาโกะ : ฟังมาจากคนที่เป็นผีน่ะ(*9)
    *9 [น่าจะหมายถึงยูยูโกะหรือโยวมุ]
มาริสะ : พวกผีชอบผลุบๆโผล่ซะด้วยสิ เผลอๆอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเขตแดนด้วยซ้ำ
คานาโกะ : พอ Mystery Spot มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งก็จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา......
    ขนาดสุสานหรือโรงพยาบาลร้างหรือโรงเรียนร้างยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลยนะ ? ขำแทบแย่แน่ะ
    ถึงขั้นเคยคิดจะเปิดร้านขายมันจูวบ้านร้างเพื่อหาเงินเลยล่ะ (ฮา)
มิโกะ : หมายถึงการทดสอบความกล้าสินะคะ ?
    การทดสอบความกล้าเพื่อความสนุกสนานมีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะค่ะ
    ฟุโตะเองก็ขี้กลัวเป็นพิเศษมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะน้า
    ชอบบอกว่าพระพุทธรูปน่ากลัวแล้วเผาทิ้งเป็นประจำจนโดนดุเลยล่ะค่ะ

(ทุกคน) : เอ๋ ?

มิโกะ : พอรู้สึกตัว ไฟก็ไหม้วัดไปหมดแล้ว ยังไงนั่นก็เป็นการทำเกินไปอยู่ดีล่ะนะ......
มาริสะ : เดี๋ยวเดะ แบบนั้นมันต่างจากคำว่าขี้กลัวยังไงชอบกลนะ (เหงื่อตก)
เบียคุเรน : คงต้องเปลี่ยนไปเน้นการใช้หินเพื่อป้องกันไฟไหม้แล้วล่ะมั้ง พระพุทธรูปก็สลักจากหินแทน
มิโกะ : ถ้าให้ฟุโตะจัดการ คิดว่าคงเผาเรียบได้ในคืนเดียวเลยล่ะค่ะ
คานาโกะ : เอาเป็นว่าศาลเจ้าหรือวัดที่ไม่มีคนอยู่ มักจะกลายเป็น Mystery Spot ค่ะ แน่นอนว่าไม่เคยมีใครไปวางเพลิงบริเวณนั้น
เบียคุเรน : ตายจริง วัดเป็นสถานที่ฝึกตน ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวเลยนะคะ
มาริสะ : วัดที่เต็มไปด้วยโยวไคแบบนั้นไม่น่ากลัวตรงไหนกันน่ะ แม้แต่ในเกนโซวเคียวยังต้องจัดว่าเป็น Mystery Spot ที่เหมาะเหม็งโคตรๆเลยนะ

(ทุกคน) : (ฮา)

[สมดุลเกี่ยวกับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต]

มาริสะ : ว่าแต่ฉันได้ยินมาจากมามิโซวว่าไม่ใช่แค่โยวไค แต่สัตว์หลายชนิดกำลังทยอยสูญพันธุ์ไปจากโลกภายนอกอย่างต่อเนื่องเลย
คานาโกะ : ใช่แล้ว และอีกไม่นานมันก็จะไม่ใช่ปัญหาของโลกภายนอกฝ่ายเดียวด้วย
มิโกะ : หมายถึง ระบบนิเวศของสรรพสัตว์ในเกนโซวเคียวเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย สินะ
มาริสะ : เคยคิดเหมือนกันนะว่าถ้าสัตว์ในเกนโซวเคียวเพิ่มจำนวนขึ้นจนอิ่มตัวแล้ว ปล่อยให้มันหนีไปที่โลกภายนอกบ้างก็ได้นี่นา ?
คานาโกะ : แนวคิดน่าสนใจดีนะ
มิโกะ : แต่ยังไงก็ทำแบบนั้นไม่ได้นี่คะ
มาริสะ : ทำไมล่ะ ?
มิโกะ : เท่าที่ทราบมา เหตุผลในการคงอยู่ของเกนโซวเคียวคือการเป็นโลกอีกด้านอย่างสมบูรณ์ของโลกภายนอกค่ะ
    สิ่งที่ขัดแย้งจึงไม่สามารถทะลุผ่านเขตแดนได้ หากฝืนกระทำก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวตนของเหล่าโยวไคที่อยู่ภายในค่ะ
เบียคุเรน : เพียงเท่านี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเกนโซวเคียวได้
    แต่ว่าการสูญพันธุ์คือผลลัพธ์จากการคัดเลือกตามธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
    แต่มามิโซวคงไม่พูดแบบนั้นสินะคะ
มาริสะ : มันก็ใช่อ่านะ
    แต่เท่าที่ฟังพวกเธอพูดมา จะบอกว่ามนุษย์อ่อนแอแต่ถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ?
    แบบนั้นไม่ขัดกับหลักการคัดเลือกตามธรรมชาติเหรอ ?
คานาโกะ : ไม่ขัดหรอก เพราะการไม่มีมนุษย์คือเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับโยวไคไงล่ะ
    ด้วยความหมายดังกล่าว การอ่อนแอทางชีววิทยาจึงไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องถูกคัดเลือกตามธรรมชาติน่ะ
มาริสะ : หืม แปลว่าการปล่อยผู้อ่อนแอให้มีชีวิตรอดก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้แข็งแกร่งสินะ
มิโกะ : มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่หยิ่งยโสค่ะ
    พอเริ่มตระหนักถึงการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกภายนอก
    พวกมนุษย์ก็แค่เริ่มคิดว่าเป็นเพราะตัวเองคือตัวตนอันยอดเยี่ยมซึ่งแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเท่านั้นเองค่ะ
มาริสะ : เหมือนพวกเธอสินะ
มิโกะ : คะ ?
มาริสะ : กำลังคิดว่า 「พวกเราแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา พวกเราเป็นตัวตนอันยอดเยี่ยม」 อยู่ล่ะสิ ?
มิโกะ : เปล่าค่ะ คือ แบบว่า ก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ
มาริสะ : แล้วที่ฟังจากมามิโซว
    ดูเหมือนจะตระหนักถึงการล่มสลายของวัฒนธรรมและอารยธรรมในเวลาเดียวกับตอนที่ตระหนักถึงการสูญพันธุ์ของสัตว์เลยนี่นะ ?
    ยัยนั่นบอกว่าอาจจะเกิดผลกระทบอะไรบางอย่างกับเกนโซวเคียวก็ได้ มันหมายความว่ายังไงเหรอ ?
คานาโกะ : ถ้าจำไม่ผิดตอนช่วงที่ฉันยังอยู่ที่โน่นก็เคยมีประเด็นเรื่องนี้ในสังคมเหมือนกัน
    น่าจะศึกษาเอาไว้สักหน่อยนะเนี่ย
เบียคุเรน : เรื่องนั้นมันเป็นปัญหายังไงเหรอคะ ?
มิโกะ : การคงอยู่ของโยวไคที่อาศัยในเกนโซวเคียวมีสาเหตุมาจากการที่ถูกมนุษย์หลงลืม
    ดังนั้นการสูญพันธุ์ไปจากโลกภายนอกย่อมเหมาะสมต่อเหล่าโยวไคมากกว่า
เบียคุเรน : อย่างนี้นี่เอง
คานาโกะ : ใช่แล้ว
    แต่เอาเถอะ มนุษย์ยุคนี้ไม่มีทางเชื่ออย่างจริงจังว่าโยวไคมีตัวตนอยู่จริงอยู่แล้ว......แต่ในทางกลับกัน อาจเกิดโยวไคสไตล์ใหม่ขึ้นมาก็ได้นะ
มาริสะ : ที่โลกภายนอก ?
คานาโกะ : ใช่
    ตามประวัติศาสตร์นั้นโยวไคถือกำเนิดจากความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้ตัวตนแน่ชัดซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์
    แต่ว่าไม่เหมือนกับพวกโยวไคสไตล์ใหม่
    พวกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจและพวกที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่ออุดความไม่สมเหตุสมผลคงจะกลายเป็นกระแสที่นิยมกันล่ะนะ
เบียคุเรน : อ๋อ แปลว่าพวกโยวไคถูกสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งความไม่สมดุลของจิตใจที่เกิดจากการหายไปของเหล่าโยวไคสินะคะ
มิโกะ : จิตใจของมนุษย์สามารถทำได้อย่างสะดวกจริงๆเลยนะ
    ในเรื่องนี้มนุษย์จัดว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่าโยวไคเสียอีก
มาริสะ : เฮ้ยเฮ้ย อธิบายแบบนั้นแล้วยังเข้าใจกันได้อีกเรอะ ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยโว้ย(*10)
    *10 [ฉันด้วยค่ะ ฉันด้วย]
มิโกะ : ถ้ายกโยวไคที่พบเจอบ่อยๆกับโยวไคที่จะกล่าวต่อจากนี้มาเป็นตัวอย่างล่ะก็ เธอต้องเข้าใจแน่ๆจ้ะ



(หนังสือ = รวม Power Spot ทั่วญี่ปุ่น / มือของเมอรี่ = หนาว / หลังยูยูโกะ = วิญญาณ / DoroDoro แปลว่า เหนอะหนะหนึบหนับ)
(ข้างเอวระบุส่วนหนึ่งของชื่อแต่ละคน : เรนโกะ = 蓮(เรน) / เมอรี่ = メリー(เมอรี่))






Tips :
- ต้นหญ้าเห็นตัวจริงของผีแล้วยังเหี่ยวเฉา หมายถึง รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอะไรแต่เพราะหวาดกลัวอยู่ในใจจึงมองเห็นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
- มนุษย์ในเกนโซวเคียวที่กลัวผี คาดว่านัยถึง คอนปาคุ โยวมุ
- ตามตำนานญี่ปุ่น ตระกูลโมโนโนเบะต่อต้านศาสนาพุทธจนลงมือเผาวัดพุทธแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นจนวอดวาย
- โยวไคสไตล์ใหม่ คาดว่าหมายถึงตัวละครแนวอมนุษย์ต่างๆที่ปรากฏในเรื่องเล่า นิยาย การ์ตูน ละคร ภาพยนตร์ และสื่ออื่นๆนั่นเอง
 ตัวอย่างที่ตรงประเด็น ได้แก่ สุนัขหน้าคน ผีสาวปากฉีก เป็นต้น ส่วนตัวอย่างทางอ้อม ได้แก่ ซาดาโกะ ก็อตซิล่า เป็นต้น
- ถ้าอ่านดีๆจะพบว่าเนื้อหาบทนี้บอกใบ้ถึงเนื้อหาภาคต่อๆไปไว้เยอะมาก = ___=)"



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้