CoLA - 023


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 23
「เทพผู้เป็นที่นิยม」

 

พอถึงช่วงกลางฤดูหนาวแบบนี้ ประตูเลื่อนของโรงเก็บของก็เริ่มเปิดยากขึ้น
โรงเก็บของมีสิ่งที่ก่อกำเนิดความร้อนได้น้อย ทำให้มีหิมะทับถมกันบนหลังคาได้ง่าย
ยิ่งหิมะทับถม หลังคาก็ยิ่งหนัก ประตูเลื่อนจึงถูกกดทับจนเปิดได้ยากขึ้น... ...ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่ง
ที่บอกว่าเป็นสาเหตุหนึ่ง ก็เพราะมีสาเหตุสำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่ง

โคคุเรย์, เทพแห่งธัญพืชที่ทำงานอยู่ข้างนอกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
กำลังใช้โรงเก็บของเป็นที่สิงสถิตจนกว่าการกสิกรรมจะเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิครั้งต่อไป
โรงเก็บของซึ่งเป็นแค่ห้องเก็บของธรรมดาจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในทันที และรู้สึกได้ว่าประตูหนักขึ้นเพราะความขลังอันนั้นเอง

เทพที่สิงสถิตอยู่ในห้องครัวแบบท่านไดโคคุก็มีอยู่เหมือนกัน
และมิใช่ว่าจะสิงสถิตในห้องครัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิงสถิตในสถานที่ประกอบอาหารทุกแห่ง
(ท่านไดโคคุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า โอโอนามุจิ ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณของกระต่ายขาวแห่งอินาบะ)

เรื่องแบบนี้มิได้เกิดแก่อุปกรณ์เท่านั้น, ตัวสถานที่หลายๆแห่งเองก็มีเทพสิงสถิตอยู่
เพียงแต่, เทพมิได้สิงสถิตอยู่ในแนวคิดหรืออารมณ์ความรู้สึก
แต่จะต้องสิงสถิตอยู่ในสสารหรือสถานที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
นั่นคือความแตกต่างที่ใช้แยกแยะเทพเจ้า ออกจากโยวไค โยวเซย์(ภูต) และยูวเรย์(ผี)
(เพราะโยวไคไม่สิงในสิ่งใด ส่วนโยวเซย์และยูวเรย์จะสิงเข้าไปทั้งในแง่ของวัตถุและอารมณ์ความรู้สึก)



「โอ๋, เป็นอะไรไปน่ะ ?
 สำหรับตัวเธอที่ไม่เคยอยู่นิ่งแถมชอบส่งเสียงดังแม้แต่ในร้านเนี่ย, ถือว่าเงียบเอาการเลยนะ」



พอมาริสะในชุดดำทั้งตัวเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วยิ่งดูมืดและตัวเล็กลงไปอีก

「แค่ก
 ตั้งใจว่าจะมาเงียบๆแบบทุกที... ...ถึงซักทีว้อย, ฟู่」

「เป็นหวัดเหรอ ? อาการแย่น่าดูเลยนะ
 ดื่มอะไรอุ่นๆมั้ย ?」

แต่แค่น้ำร้อนธรรมดานะ, พูดจบก็รินน้ำร้อนจากกาน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาผิงใส่ลงถ้วยชา

「อืม, โทษที」 มาริสะพูดแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้

「ถ้าเป็นหวัดล่ะก็, ยอมทำตัวเรียบร้อยอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่ารึ ?」

「ถ้าเป็นหวัดธรรมดาที่แค่นอนแล้วหายน่ะนะ
 แค่กแค่ก」

「แล้วเป็นหวัดที่ไม่ธรรมดารึไง」

ผมไม่ค่อยจะเป็นหวัดธรรมดาสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะร่างกายแข็งแรง แต่ก็มีเหตุผลที่ไม่เป็นหวัด
นั่นคือโยวไคแทบจะไม่เป็นโรคแบบเดียวกับมนุษย์เลย
มนุษย์ก็มีโรคที่ติดได้เฉพาะมนุษย์, โยวไคก็มีโรคที่ติดได้เฉพาะโยวไค
โดยส่วนใหญ่แล้ว โรคของมนุษย์คือโรคทางกาย, ส่วนโรคของโยวไคคือโรคทางใจ

ส่วนผมที่เป็นลูกครึ่งมนุษย์ภูต... ...ที่จริงแล้วติดโรคทั้งสองแบบได้ยาก
ดังนั้นต่อให้มาริสะเป็นหวัดมาหา ผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะติดโรค

「แหม, ที่จริงก็ไม่รู้ว่านี่คือหวัดรึเปล่าอ่ะนะ... ...แต่หมดแรงไปทั้งตัวเลยว่ะ」

「หืม
 น่าเสียดายนะ ถึงร่างกายของผมจะไม่ได้แข็งแรง แต่ก็ไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไร
 พูดถึงอาการป่วยไปก็ไม่ค่อยรู้ว่ามันเจ็บแสบยังไงเสียด้วย」

「เออ เอาเหอะ ฉันไม่ได้คาดหวังการวินิจฉัยโรคจากโควรินหรอก... ...โว้ย
 คราวนี้แค่มาเพราะมีของอยากจะให้ดูเท่านั้นแหละ」



――กริ๊งกริ๊ง

「คุณรินโนะสุเกะ, อยู่รึเปล่า ? แค่ก」

「โอ๋ ? เรย์มุก็เป็นหวัดเหรอ ?」

「ไม่รู้หรอกว่าเป็นหวัดหรืออะไร... ...แต่หมดแรงไปทั้งตัวเลยอ่ะน้า」

ตอนที่พูดก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าไปด้านในตามอำเภอใจ
ซึ่งด้านในมีคนป่วยที่มาก่อนกำลังนอนอยู่

「มาริสะนอนไปแล้วนี่นา」

「ใช่, มาริสะก็อาการไม่ดีเหมือนกัน」

「เธอเป็นคนป่วยคนที่สองของวันนี้น่ะ
 เริ่มอาชีพหมอเสียเลยดีมั้ยนะ
 เพราะผมไม่เป็นหวัดง่ายๆ」

「... ...ยังไงก็ไม่ได้กำไรหรอก
 เชื่อดิ」

ไม่รู้ว่าที่พูดนั่นหมายความว่ามีคนไข้น้อยคนที่จะไว้ใจผม, หรือว่าหมายถึงไม่ค่อยมีมนุษย์ชาวเกนโซวเคียวที่จำเป็นต้องใช้หมอกันแน่นะ
แต่เมื่อประมาณสองปีก่อนมีหมอฝีมือดีปรากฏตัวขึ้น (นัยถึง เอย์ริน ที่ปรากฏตัวครั้งแรกตอนภาค 8)
เคยได้ยินมาว่ากิจการรุ่งเรืองน่าดู
เพราะงั้นที่เรย์มุพูดจึงมีความเป็นไปได้ต่ำที่จะหมายถึงอย่างหลัง

หมอฝีมือดีคนนั้น ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในป่าไผ่หลงทาง และไม่เพียงมนุษย์ในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังรักษาโรคให้เหล่าโยวไคด้วย
ถ้าอาการของเรย์มุกับมาริสะหนักขึ้นจนรับมือไม่ไหว บางทีการเรียกหมอคนนั้นมาอาจจะดีกว่าก็ได้

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เรย์มุที่อาการไม่ดีแบบนั้น มาที่นี่ทำไม
ทั้งที่ในร้านของผมก็ไม่ค่อยมียาอะไรแท้ๆ... ...



「แค่กแค่ก, วันนี้มาหาของน่ะ
 ของที่อยากได้เป็นวัตถุโบราณ... ...ก็เลยคิดว่าร้านโควรินโดวเหมาะที่สุด」

「มาหาวัตถุโบราณ ? เอาไว้อาการดีกว่านี้ค่อยมาก็ได้นี่นา」

「ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก... ...เพราะถ้าหาของนั่นไม่เจอ อาการก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก」

「เหมือนจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างสินะ
 เจ้าหวัดที่ไม่ธรรมดานี่」

จากที่เรย์มุเล่า, ดูเหมือนมนุษย์ที่หมู่บ้านส่วนใหญ่กำลังเป็นหวัดที่มีอาการแบบเดียวกันนี้
ถึงจะบอกว่าเป็นหวัดแต่ก็ไม่น่าจะไอรุนแรงขนาดนี้ แถมยังหมดแรงไปทั้งตัวจนเดินลำบาก
และเจ้าหวัดนี้ก็ท่าทางจะติดต่อระหว่างคนได้ง่ายเอาการ

「แค่ก, ของที่หาอยู่... ...เป็นวัตถุโบราณ... ...ที่คล้ายกับไหขนาดเล็ก
 เอาของที่เก่าที่สุดเท่าที่หาได้เลยนะ」

「ไห... ...? จะเลิกเป็นมิโกะแล้วตั้งศาสนาใหม่แล้วสินะ」

「อีกเรื่องที่จำเป็นก็คือ ต้องเป็นของที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อน่ะ
 แค่กแค่ก」



ผมยังจับประเด็นไม่ถูกว่าเรย์มุกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
ทั้งที่อาการไม่ดีแต่ก็ยังอุตส่าห์มาถึงที่ร้าน และในท้ายที่สุดก็อยากได้วัตถุโบราณที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อเนี่ยนะ... ...จะว่าไปแล้ว,
มาริสะเองก็บอกว่ามีของที่อยากจะให้ดูนี่นา, แต่ตอนนี้หลับไปแล้ว งั้นก็ช่างเถอะ

「วัตถุโบราณที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ... ...ส่วนมากเป็นของที่คุณภาพต่ำนะ
 เอ---... ...」

「ของที่มีอยู่ในศาลเจ้าก็อาจจะใช้ได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าของชิ้นไหนที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อน่ะ... ...
 แค่กแค่ก」

เธอกล่าวเสริมว่า, คนที่มองแล้วรู้ว่าตั้งชื่อแล้วหรือยังก็มีแค่คุณรินโนะสุเกะคนเดียวใช่มั้ยล่ะ ?
ผมได้ยินแล้วรู้สึกดี และเริ่มอธิบายอย่างภาคภูมิเล็กน้อยถึงวัตถุโบราณที่หยิบมา

「ยกตัวอย่างเช่น, เจ้านี่ล่ะเป็นไง ? จานที่ผ่านยุคสมัยมากว่าสามร้อยปี
 ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใช้งาน แต่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก ก็เลยไม่เคยถูกใช้งานเลย
 ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า ยังไม่ถูกตั้งชื่อ น่ะ」

「อืม---
 ไม่มีของที่เก่ากว่านี้แล้วเหรอ ?
 สักประมาณพันสองร้อยปีก่อน... ...」

เรย์มุมองจานแค่แวบเดียวโดยไม่ดูรายละเอียดแล้วพูดออกมา
รู้สึกว่าจะสำคัญแค่เรื่องความเก่าแก่ มากกว่าในแง่ของวัตถุโบราณแฮะ

「พันสองร้อยปีงั้นเหรอ ?
 อืม---, ไม่ค่อยมีของที่เก่าขนาดนั้นเสียด้วยสิ」

โควรินโดวเป็นร้านสารพัดสิ่งไม่ใช่เหรอ ? ฉันอยากได้ของที่เก่าที่สุดเท่าที่หาได้และไม่มีชื่อน่ะ
เรย์มุพูดพลางเอนตัวลงนอน
รู้สึกจะเคยพูดว่าเป็นร้านขายของเก่าหรือร้านขายวัตถุโบราณ แต่จำไม่ได้ว่าเคยพูดว่าเป็นร้านสารพัดสิ่งนะ

ทว่า, ผมมิอาจท้อถอยเพียงเท่านี้ทั้งที่ยังไม่ได้อธิบายอย่างภาคภูมิแม้สักครั้งหนึ่ง
จึงไปถึงห้องเก็บของซึ่งเป็นปลายทางของเหล่าวัตถุที่ไม่ใช่สินค้า และค้นหาวัตถุที่อายุประมาณพันสองร้อยปี
ตอนที่เปิดประตูห้องเก็บของซึ่งทั้งหนักและเย็นเฉียบ, ผมพยายามไม่คิดว่าเรย์มุจะอยากได้ของพรรค์นั้นไปทำไม

「ฟู่
 ไม่เจอของที่โดดเด่นน่าสนใจเลย แต่... ...เรย์มุ, เจ้านี่ล่ะเป็นยังไง ?」

พูดจบผมก็เอาก้อนสามเหลี่ยมแบนราบขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือให้เธอดู

「นี่คือ เศษไหที่มีอายุเกินกว่าพันปีน่ะ
 ไม่มีชื่อด้วย」

จริงอยู่ว่าเศษเสี้ยวพรรค์นี้ไม่มีคุณค่าอะไรในฐานะวัตถุโบราณเลย
แต่ของเก่าแก่ที่มีอายุเกินพันปีก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว

「แต่เศษเสี้ยวนี่ไม่ใช่แค่เศษเสี้ยวธรรมดาหรอกนะ
 มันเป็นเศษของไหที่มีประวัติว่าเมื่อก่อนเคยผนึกอะไรบางอย่างเอาไว้น่ะ
 โทษทีนะ แต่ของที่เก่าขนาดนั้นก็เห็นจะมีแต่เจ้านี่เท่านั้นแหละ」

「แค่กแค่ก
 มีของดีอยู่เหมือนกันนี่นา
 สมกับเป็นคุณรินโนะสุเกะเลยนะ」



เธอบอกว่า ขอยืมหน่อยนะ แล้วหยิบเศษเสี้ยวนั้นไป จากนั้นก็หยิบกิ่งไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้วเริ่มพูดด้วยเสียงเบาๆ
ดูเหมือนจะเริ่มทำพิธีอะไรบางอย่าง
แต่ผมยังดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป้าหมายของเรย์มุคืออะไร

「... ...แว่วเสียงเทพโทโมะโนะโยชิโอะ... ...」

นานๆทีจะได้เห็นเธอทำงานอันสมกับเป็นมิโกะ
บางทีคงจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับโรคหวัดประหลาดนี่ล่ะมั้ง
เมื่อเรย์มุแปะยันต์ลงบนเศษเสี้ยวที่ใช้ประกอบพิธีอันแสนเรียบง่าย, เธอก็ถอนหายใจออกมา

「ฟู่, เท่านี้ก็วางใจได้ล่ะ
 ถ้าเอาเจ้านี่ไปตระเวนให้ทั่วหมู่บ้าน, ทุกคนก็น่าจะหายจากโรคแล้วล่ะ」

「โฮ่, งั้นก็ดีสิ
 แต่ว่า, ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเธอทำอะไรบ้างตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
 ช่วยอธิบายให้ฟังแบบละเอียดได้มั้ย ?」



เรย์มุคงอารมณ์ดีขึ้นแล้วล่ะมั้ง
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปริศนา อาการของเธอดีขึ้นจนกลับเป็นปกติและเริ่มอธิบาย

เรย์มุบอกว่า โรคนี้เป็นโรคติดต่อระหว่างคน
ลักษณะเหมือนกับหวัดแต่รุนแรงกว่า ความสามารถในการติดต่อก็สูงกว่า ดูเหมือนแค่เข้าใกล้ก็ติดต่อได้แล้ว
นานปีมีหน, ที่จะเกิดการระบาดของโรคที่มีสาเหตุไม่แน่ชัดแบบนี้

โรคติดต่อระหว่างคนนั้น แค่รักษาให้หายได้หนึ่งคนยังไม่พอที่จะจบเรื่อง
จึงจำเป็นต้องผนึกเทพสาปแช่งที่ทำให้เกิดโรคขึ้น เพื่อยับยั้งโรคนั้นอย่างสมบูรณ์

เรย์มุกล่าวว่า, ต้นเหตุที่ทำให้ติดโรค คือการอาละวาดของเทพสาปแช่งซึ่งถือครองโรคนั้น
จึงต้องหาตัวเทพสาปแช่งองค์นั้นให้พบแล้วทำการผนึก จากนั้นก็แสดงให้ผู้ป่วยเห็นว่าเทพสาปแช่งได้ถูกผนึกแล้ว เมื่อผู้ป่วยเชื่อก็จะหายจากโรค

「เทพที่จำเป็นต้องรวบรวมศรัทธาเป็นการชั่วคราวเพื่อจุดประสงค์เฉพาะหน้าแบบนี้ เรียกว่า เทพกระแสนิยม น่ะ
 ส่วนกรณีนี้, คือเทพเจ้าที่ฉันกุเรื่องว่าเป็นเทพแห่งโรคภัยขึ้นมาเพื่อรวบรวมศรัทธาไปยับยั้งโรค จนกลายเป็นเทพสาปแช่งขึ้นมาจริงๆน่ะ」

「กุเรื่อง... ...งั้นเหรอ
 ถูกกุเรื่องว่าเป็นเทพแห่งโรคภัยแบบนี้เนี่ย ช่างเป็นเทพเจ้าที่ซวยจริงๆเลยนะ」

「ฉันขอให้เทพเจ้าที่เรียกขานกันว่าท่านโทโมะโนะโยชิโอะรับบทเป็นเทพสาปแช่งน่ะ
 เทพเจ้าองค์นี้ได้รับบทเป็นเทพสาปแช่งแห่งโรคติดต่ออยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว」

「โหดร้ายจังเลยนะ
 ถ้าพูดถึงโทโมะโนะโยชิโอะ... ...เขาเป็นมนุษย์ที่มีอยู่จริงไม่ใช่เหรอ
 ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณพันสองร้อยปีก่อน... ...」

「ดีแล้วล่ะ
 ดูเหมือนตอนแรกจะถูกทำให้เป็นแบบนั้นเพราะความหวาดกลัวที่มีต่อโรคติดต่อและความแค้นอันรุนแรงที่มีต่อท่านโทโมะโนะโยชิโอะ
 แต่ตอนนี้เป็นเทพเจ้าผู้น่ายกย่องที่ยอมรับบทชั่วร้ายด้วยอารมณ์สบายๆแบบว่า
 『ถ้าจะรักษาโรคติดต่อล่ะก็, จะให้เป็นเทพสาปแช่งหรืออะไรก็จัดมาเลย』
 แถมดูเหมือนกำลังว่างอยู่พอดี ก็เลยลองไหว้วานดูน่ะ」

มิโกะพูดคุยกับเทพเจ้าอย่างเป็นกันเองขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
เป็นโลกที่มีเพียงมิโกะซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดเสียงของเทพเจ้าเท่านั้นที่จะได้รู้และเข้าใจ

「สาเหตุที่อยากได้ของที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อ ก็เพราะของที่มีชื่อจะมีเทพเจ้าองค์อื่นสิงสถิตอยู่ก่อนแล้วไงล่ะ
 และยิ่งผ่านเดือนผ่านปีมามากเท่าใด ของที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อนั้นก็ยิ่งเหมาะสมต่อการใช้เข้าสิงด้วย」

「อย่างนี้นี่เอง
 สิ่งที่เรียกว่าโรคของมนุษย์ต้องรักษาอย่างนั้นเหรอเนี่ย... ...
 ว่าแต่, เมื่อกี้บอกว่ารวบรวมศรัทธาแค่ชั่วคราวนี่นา, ถ้ารักษาเสร็จแล้วเทพเจ้าจะเป็นยังไงล่ะ ?」

「เมื่อไร้ซึ่งความหวาดกลัวที่มีต่อโรคภัย ชินเรย์(วิญญาณเทพ)ก็จะถูกหลงลืม และไม่เหลือพลังใดๆอีกต่อไปน่ะ
 อันที่จริงท่านโทโมะโนะโยชิโอะเองก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพเจ้าโดยสากลอยู่แล้วนี่ ?
 ศาลเจ้าก็ไม่มีด้วย
 เศษเสี้ยวที่ถูกผนึกนี่ก็... ...สุดท้ายคงเอาไปทิ้งที่เนินไร้ญาติน่ะ」

「โหดร้ายยังไงชอบกลนะ, เหมือนเรียกเทพเจ้ามาใช้แล้วก็ทิ้งเลย」

「เทพที่เรียกว่า เทพกระแสนิยม ก็มีชะตากรรมแบบนั้นแหละ
 โดยพื้นฐานแล้ว, หากถูกลืมไปเสียก็จะเป็นเรื่องดีต่อมนุษย์มากกว่า
 ที่สำคัญกว่านั้นคือ ท่านโทโมะโนะโยชิโอะที่น่าจะถูกผนึกไปแล้ว ทำไมถึงกำลังว่างอยู่ ?」



เฮ้อ--- ค่อยยังชั่วขึ้นมาแล้วว้อย, มาริสะลุกขึ้นมาครึ่งตัวแล้วแทรกการสนทนา

「ได้ยินเรื่องที่เรย์มุเล่าตอนกำลังนอนอยู่น่ะ, หมายความว่าโรคนี้เกิดจากจิตงั้นเหรอ ?」

「ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย ? โรคเกิดจากเทพต่างหากล่ะ」

มาริสะกล่าวว่า 「มีของที่สะกิดใจยังไงก็ไม่รู้อยู่อย่างหนึ่งว่ะ」 แล้วล้วงมือเข้าไปหยิบจานเก่าแก่ขนาดเล็กออกมาจากหมวกของตน

「วันนี้ตั้งใจว่าจะเอาจานนี่มาให้โควรินดูน่ะ... ...อันที่จริงก็เริ่มอาการไม่ดีตั้งแต่เก็บเจ้านี่มาน่ะนะ」

「เป็นจานที่เก่าแก่น่าดูเลยนะ
 ท่าทางจะมีประวัติเสียด้วยสิ... ...」

「เก็บมาเพราะคิดว่าอาจจะมีราคาน่ะ, แต่จู่ๆก็อาการแย่ลงอย่างกะทันหัน, ก็เลยคิดว่าจะให้ช่วยดูให้ทั้งสองเรื่องเลย」

「หืม
 นี่เป็นจานที่ไม่ได้ถูกตั้งชื่อไว้เป็นพิเศษน่ะ
 น่าเสียดายนะ แต่ท่าทางจะไม่มีมูลค่าเพิ่มเป็นพิเศษหรอก
 แต่ก็จริงว่าตัวมันเองเป็นของเก่าที่หายากเอาการอยู่... ...」

เรย์มุมองจานใบนั้นอย่างถี่ถ้วน แล้วแสดงสีหน้าประหลาดออกมา

「อืม---
 จานใบนั้น, รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนกันนะ... ...」

「จะว่าไป, ตอนแรกจานใบนี้มียันต์สกปรกแปะอยู่น่ะ ก็เลยแกะออกเพื่อทำความสะอาด
 หลังจากนั้นอาการก็แย่ลงทันทีเลย」



――แว่วเสียงหิมะตกลงมาจากหลังคา
ตั้งแต่เรย์มุเริ่มเทศน์มาริสะนั้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วนะ
รู้สึกว่าเนื้อหาของการเทศน์จะซ้ำเป็นรอบที่สามแล้ว

「เธอเนี่ยน้า, ถ้ามียันต์แปะอยู่ก็อย่าไปแกะมันออกสิ !
 เธอเก็บจานนั่นมาจากเนินไร้ญาติใช่มั้ยล่ะ ?
 เธอไม่รู้ว่าของพรรค์นั้นมีอะไรสิงอยู่ไม่ใช่เหรอ」

「คนธรรมดาดูไปก็ไม่รู้หรอกว้อยว่ามีเทพกระแสนิยมถูกผนึกอยู่
 เธอก็อย่าเอาของพรรค์นั้นไปทิ้งมั่วซั่วสิ」

「จนกว่าเทพกระแสนิยมจะสูญเสียศรัทธาจนหมดสิ้น, จำเป็นต้องเอาไปทิ้งให้ห่างไกลจากหมู่บ้านมนุษย์นะ
 เพราะว่าเธอจงใจเดินทางไปจนถึงเนินไร้ญาติแล้วทำลายผนึก ก็เลยเกิดโรคระบาดไงล่ะ ? เข้าใจมั้ย ?
 ที่แน่ๆคือฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมท่านโทโมะโนะโยชิโอะถึงได้กำลังว่างอยู่
 เป็นเพราะเธอไปทำลายผนึกนี่เอง」

「ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้น่า
 ฉันเพิ่งฟื้นไข้เองนะ」

「ให้ตายสิ
 เป็นเพราะเธอทำบ้าๆลงไป ถึงได้ต้องไปตระเวนเยี่ยมบ้านทุกหลังในหมู่บ้านเนี่ย」

น่าสนุกดีที่จะได้เห็นเรย์มุไปรวบรวมศรัทธาที่มีต่อเทพสาปแช่งโดยการเยี่ยมบ้านแต่ละหลัง แต่... ...
ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำแบบนั้นแล้วจะรักษาโรคระบาดได้จริงๆเหรอ
ถ้าหากผนึกเทพสาปแช่งแล้วรักษาโรคได้,
ผมรู้สึกว่ามันจะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยเป็นโรค และทำไมชนิดของโรคของโยวไคกับมนุษย์จึงแตกต่างกัน

หมอที่ปรากฏตัวขึ้น ณ ป่าไผ่หลงทาง ใช้วิธีรักษาที่ล้ำสมัย, มิใช่การรักษาโดยพึ่งพาเทพเจ้าแบบนั้น
ใช้เครื่องมือที่ไม่เคยเห็นมาก่อน, ถ่ายภาพภายในร่างกาย (นัยถึง เครื่อง X-ray)
บางครั้งก็สับเปลี่ยนบางส่วนของร่างกายที่ใช้ไม่ได้แล้วด้วยของที่ยังปกติดี

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าผมจะเคลือบแคลงเพราะไม่มีทางมองเห็นได้ด้วยตาตัวเอง... ...แต่หากที่เรย์มุพูดเป็นความจริง,
หมอที่ปรากฏตัวขึ้น ณ ป่าไผ่หลงทางคงรู้สึกเศร้าใจกับวิธีการรักษาในปัจจุบันของเกนโซวเคียว ก็เลยเปิดกิจการขึ้นล่ะมั้ง
คงจะเป็นปัญญาชน, หรือบางทีอาจเป็นมนุษย์จากโลกภายนอกก็เป็นได้





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- รูปประกอบภาพแรก... มาริสะแอบเซ็กซี่เล็กน้อย (ฮา)
- ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กิจการขายยาของเอย์รินไปได้สวย
- ภาพประกอบที่สาม เศษไหกลายเป็นไหเต็มใบ ส่วนกิ่งไม้ศักดิ์สิทธิ์(ทามากุชิ)กลายเป็นไม้ปัดรังควานธรรมดา
   บางทีอาจเป็นการสื่อถึงผู้อ่านว่า ภาพประกอบที่มิได้วาดโดยท่าน ZUN นั้นมิอาจใช้อ้างอิงเนื้อหาได้...ก็เป็นได้
- โทโมะโนะโยชิโอะ เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เคยก่อคดีวางเพลิงใส่ร้ายขุนนางในปี 866
   แต่พลาดท่าถูกเปิดโปง จึงโดนเนรเทศ แล้วเสียชีวิตในสองปีต่อมา
   หลังจากนั้นมีผู้พบเห็นวิญญาณของเขา และเขาอ้างตัวว่าเป็นเทพแห่งโรคติดต่อ
- จริงๆแล้วเรื่องการตั้งชื่อนี่รินโนะสุเกะเป็นคนสอนให้ใน ตอนที่ 15 หินไร้นาม ไม่ใช่รึ ?
- อาจสรุปได้ว่า คนร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือมาริสะนั่นเอง (ฮา)
- เอย์รินเอาอวัยวะจากที่ไหนมาเปลี่ยนให้คนไข้ ? ในเมื่อเกนโซวเคียวมีมนุษย์อยู่น้อย และไม่น่าจะมีการรับบริจาคอวัยวะ
   นอกจากนี้ การปลูกถ่ายอวัยวะยังติดปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันค่อนข้างมาก ถ้าไม่เข้ากัน 100% ก็ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน    บางทีเธออาจใช้วิธีโคลนนิ่งเฉพาะบางส่วนของร่างกายก็เป็นได้ เพราะโคลนจากเจ้าของร่าง จะไม่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันใดๆ
- แสดงว่ามีอยู่ไม่กี่คนจริงๆที่รู้ว่าพวกเอย์รินเป็นมนุษย์ต่างดาว



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้