PCB - AllCharacter


東方妖々夢 ~ Perfect Cherry Blossom.
โทวโฮวโยวโยวมุ (ความฝันอันเย้ายวนแห่งตะวันออก) ~ ซากุระบานสะพรั่งไร้ที่ติ


.........................................................................................................................................................................................

แนะนำตัวละครทั้งหมด


 ○ มิโกะผู้เลิศล้ำแห่งสรวงสวรรค์
   ฮาคุเรย์ เรย์มุ
   มีความสามารถในการบินไปบนท้องฟ้า

คุณมิโกะแบบมาตรฐาน
คุณมิโกะแห่งศาลเจ้าฮาคุเรย์ซึ่งตั้งอยู่ ณ พรมแดนเกนโซวเคียว
โดยตัวศาลเจ้าฮาคุเรย์นั้นถือว่าตั้งอยู่ทั้งในเกนโซวเคียวและในโลกมนุษย์ ในเวลาเดียวกัน
          ・・
บริเวณพรมแดนนั้นจัดเป็นเขตอารามของศาลเจ้าฮาคุเรย์
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็เป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆที่ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเลย
ไม่รู้สึกถึงอานิสงส์ใดๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรเลย
แถมยังตั้งอยู่ในใจกลางหมู่เขาที่ห่างไกลจากหมู่บ้านมนุษย์ จึงไม่แปลกที่แทบจะไม่มีผู้มาสักการบูชาเลย
เขตแดนส่วนใหญ่ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ได้ถูกสลายไปแล้ว
ทั้งนี้เพราะมหาเขตแดนฮาคุเรย์ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างเกนโซวเคียวและโลกมนุษย์นั้นมีพลังมหาศาลอย่างมากเลยทีเดียว

ในเกนโซวเคียวนี้มีแต่คนของฮาคุเรย์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ถือครองกฎระเบียบเอาไว้
ดังนั้นเรย์มุจึงมักจะสวมชุดที่คล้ายกับเครื่องแบบอยู่เสมอ (แม้ว่ามันน่าจะมีระเบียบสำหรับเรื่องอื่นๆอยู่อีกก็เถอะ...)
กิจวัตรประจำวันก็คือการสวมชุดแดงขาวมานั่งจิบชาและมองดูท้องฟ้าของเกนโซวเคียว จากสถานที่สุดขอบเกนโซวเคียวเช่นนี้แล

แต่ไหนแต่ไรมา เรย์มุก็สามารถเอาพลังลึกลับมาใช้งานได้อย่างหลากหลายอยู่แล้ว แต่เธอไม่เคยเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือนำไปโอ้อวดใครๆ
อย่างไรเสียทั้งหมดก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ




 ○ จอมเวทดำธรรมดาสามัญ
   คิริซาเมะ มาริสะ
   มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์

จอมเวทค่อนข้างธรรมดาสามัญและเป็นนักสะสมตัวยง ซึ่งอาศัยอยู่ในเกนโซวเคียว
รู้สึกว่าความเป็นนักสะสมของเธอจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีๆเสียด้วย

บ้านคิริซาเมะเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดกะทัดรัด ซึ่งแทบจะไม่เชื้อเชิญผู้ใดให้มาเยือน
โดยตั้งอยู่ในป่าของเกนโซวเคียว (หรือที่นิยมเรียกกันว่า ป่าเวทมนตร์)

ภายในบ้านนั้นรกรุงรังไร้ระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ, นี่ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาล่ะก็ คงโดนภูเขาไอเทมทลายลงมาทับตายเป็นแน่

เมื่อรวบรวมแมจิคไอเทมมาไว้ด้วยกันตรงจุดหนึ่ง พวกมันแต่ละชิ้นก็จะทำปฏิกิริยากันเองจนความสามารถอ่อนแอลง หรือไม่ก็แข็งแกร่งขึ้น
บางครั้งถึงกับเกิดความสามารถใหม่ได้เลยทีเดียว
บางทีในบ้านหลังนี้อาจมีไอเทมที่แม้แต่มาริสะก็ยังไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของมันหลับใหลอยู่ก็เป็นได้

จะว่าไป, ดูเหมือนยาที่เธอซุ่มเก็บตัวสร้างขึ้นมาตอนฤดูหนาวจะมีขนาดใหญ่เกินไปนิดหน่อยจนไม่สามารถกลืนได้
ต้องปรับปรุง




 ○ เมดแห่งคฤหาสน์มารแดง
   อิซาโยอิ ซาคุยะ
   มีความสามารถในการควบคุมเวลา

เมดสาวผู้ทำงานรับใช้ในคฤหาสน์สีแดงฉานซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบแห่งเกนโซวเคียว, โดยไม่มีค่าจ้าง

เธอมักจะงานยุ่งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานทำความสะอาด, สั่งงานลูกน้อง, ทำอาหาร, ดูแลคุณหนู

ตัวคฤหาสน์กว้างใหญ่อย่างไร้แก่นสาร อีกทั้งยังเป็นสีโทนเดียวกันไปหมด ทำให้แทบจะไม่สามารถร่างแบบอาคารหลังนี้ทั้งหลังได้เลย
แขกไม่ได้รับเชิญที่เข้ามาหลงทางอยู่ภายในจะไปหมดสติอยู่ตรงไหน, ก็ไม่อาจทราบได้เลย
หรืออาจจะถูกใครบางคนมาพบเข้าเสียก่อนแล้วถูกทำให้หายไป, ก็ไม่อาจทราบได้

ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไม่รู้สึกขัดตาที่มีคฤหาสน์สีแดงฉานนี้ตั้งอยู่ในเกนโซวเคียวที่มีสีเขียวเป็นส่วนใหญ่
บางทีอาจเป็นเพราะมันตั้งอยู่ตรงนั้นมานานจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วก็เป็นได้

ตัวซาคุยะเองเมื่อได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็รู้สึกเหมือนกับเวลาได้หยุดลงเช่นกัน
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะเธอหยุดเวลาซะเองหรอกนะ




 ○ โยวไคน้ำแข็ง
   ชิลโน่

   บอสกลางด่าน 1, โยวไคน้ำแข็งผู้ชื่นชอบสถานที่ที่อากาศเย็นเป็นที่สุด
   มีความสามารถในการควบคุมความเย็น

ไม่มีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษในการโจมตีใส่พวกเรย์มุ เธอแค่บังเอิญอยู่แถวนั้นพอดีก็เลยโจมตีออกมาเท่านั้น

เนื่องจากชิลโน่สามารถปล่อยไอเย็นออกมาจากตัวได้ รอบตัวเธอจึงหนาวเย็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในฤดูร้อนหรือฤดูหนาว
แน่นอนว่าในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงก็สามารถทำให้หนาวเย็นได้เช่นกัน


Tips :
- ในภาคนี้เขียนว่าชิลโน่เป็นโยวไค ทั้งที่จริงๆแล้วเธอเป็นโยวเซย์ ซึ่งน่าจะเป็นความผิดพลาดในการเขียนของผู้แต่ง




 ○ สิ่งที่ถูกลืมแห่งฤดูหนาว
   เลตตี้ ไวท์รอค

   บอสด่าน 1, โยวไคที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เมื่อถึงฤดูหนาว
   มีความสามารถในการควบคุมความหนาว

ขอเพียงเป็นฤดูหนาว เลตตี้ก็มีความสุขแล้ว
เธอปรากฏตัวเข้ามาขัดขวาง เพราะพวกเรย์มุคิดจะทำลายช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอ

หากแต่ มันเป็นสัจธรรมที่ว่าฤดูใบไม้ผลิจะต้องมาเยือนทุกปี
แม้ว่ามันจะเป็นฤดูแห่งความซึมเศร้าของพวกเลตตี้ซึ่งแพ้ละอองเกสรดอกไม้
แต่เธอก็เข้าใจและยอมรับในความเป็นไปของธรรมชาติ, จึงโจมตีใส่พวกเรย์มุโดยไม่เอาจริง

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน เธอก็จะหายตัวไปยังที่ไหนสักแห่งอีกครั้ง


Tips :
- ไม่ได้สลายหายไปแต่อย่างใด แค่ไปหาที่ซ่อน รอฤดูหนาวมาเยือนเท่านั้น
- เนื่องจากในเกมนั้นเธอมี Hit Box ค่อนข้างใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นมือใหม่ยิงโดนได้ง่าย แต่นั่นกลับทำให้เธอถูกล้อว่าอ้วนหรือตัวใหญ่อยู่บ่อยๆ




 ○ แมวดำแห่งลางร้าย
   เชน

   บอสด่าน 2, ภูตรับใช้ที่สิงอยู่ในร่างปิศาจแมว(บาเคะเนโคะ)ซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขา
   มีความสามารถในการใช้วิชาอาคม

ร่างจริงของเธอคือ ภูตรับใช้ของรัน
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เธอเป็นภูตรับใช้ของภูตรับใช้ของโยวไค
แม้จะเป็นภูตรับใช้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของยันต์เสมอไป สามารถคงรูปลักษณ์เดิมได้แม้ในยามปกติ จึงไม่ต้องแบ่งแยกประเภทให้ยุ่งยาก
แม้ภูตรับใช้ไม่เข้าสิง, เธอก็สามารถพูดภาษามนุษย์และบินไปมาได้อยู่แล้ว แต่เธอจะมีพลังเพียงแค่พอจะทำให้มนุษย์ตกใจเท่านั้น
อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและลักษณะนิสัยก็ไม่ต่างจากเดิมเลย, เมื่อถึงฤดูหนาวก็มานอนขดตัวกลมที่โต๊ะอุ่นขาอยู่ดี

ถึงจะเป็นปิศาจแมวที่ได้รับพลังภูตมากมายจากการอัญเชิญเทพยักษ์มาสถิตในร่าง
แต่เพราะเจ้านายของเชนก็เป็นภูตรับใช้ของคนอื่นอีกทอดหนึ่ง, ความสามารถของเชนจึงค่อนข้างต่ำ

เธอจะหลุดจากสภาพภูตรับใช้ทันทีที่สัมผัสโดนน้ำ
ตัวเชนในสภาพที่เป็นปิศาจแมวโดยไม่มีภูตรับใช้มาสถิตร่างนั้น ปกติก็แพ้น้ำอยู่แล้ว
เธอจึงแพ้น้ำอยู่ตลอดนั่นล่ะ


Tips :
- ชื่อของเชนนั้นเป็นภาษาจีน แปลว่า ส้ม อ่านได้ว่า เฉง หรือ เช้ง แต่เพื่อความสะดวกในการอ่านจึงเลือกใช้ เชน ตามเสียงอ่านของญี่ปุ่น
- เชนเป็นโยวไค บาเคะเนโคะ(ปิศาจแมว) ... ไม่ใช่ เนโคะมาตะ(ปิศาจแมวสาว) แต่อย่างใด ... มันเป็นคนละชนิดกัน
- หากแต่หลักเกณฑ์การแยกแยะโยวไคสองชนิดนี้ยังมีความคลุมเครืออยู่มาก แม้แต่คนญี่ปุ่นยังเข้าใจผิดเรียกผิดวาดผิดกันอยู่บ่อยๆ
- ภูตรับใช้ เมื่ออยู่ใกล้เจ้านาย จะเกิดการถ่ายทอดพลังจากเจ้านายสู่ภูตรับใช้ ทำให้ภูตรับใช้แข็งแกร่งขึ้น
- การหลุดจากสภาพภูตรับใช้ ที่ว่านั้น หมายถึง การถ่ายทอดพลังถูกตัดขาดลง ... เชนก็จะกลายเป็นปิศาจแมวธรรมดาที่ด้อยพลังไป
- เชนที่เจอตอนด่าน 2 นี้เป็นปิศาจแมวธรรมดา แต่ใน Extra Stage เธออยู่ในสภาพภูตรับใช้แล้ว




 ○ ผู้ใช้ตุ๊กตาเจ็ดสี
   อลิส มาร์กาทรอยด์

   บอสด่าน 3, ถ้าเทียบไปก็เป็นจอมเวทธรรมดาคนนึง
   มีความสามารถในการควบคุมและใช้เวทมนตร์

จอมเวทผู้มีความสามารถรอบด้าน จึงไม่มีคุณสมบัติใดๆที่เป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็ง
ว่ากันตามตรงก็ต้องจัดว่าใกล้เคียงกับมาริสะ, กล่าวคือเป็นมาริสะในรูปแบบโยวไค

อลิสเองก็เป็นนักสะสมเช่นเดียวกัน โดยเธอเน้นสะสมแมจิคไอเทมจำพวกหนังสือ
และเพราะเป็นนักสะสมเหมือนกัน เธอจึงกระทบกระทั่งกับมาริสะอยู่บ่อยครั้ง ว่าไปแล้วก็เหมือนสุนัขกับลิงนั่นเอง
ระยะหลังมานี้ก็เริ่มติดอกติดใจการสะสมตุ๊กตาที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวต่างๆ

เธอไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดในการต่อสู้กับพวกเรย์มุในครั้งนี้
เธอแค่บังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี ก็เลยถือโอกาสใช้พวกเรย์มุเป็นคู่ซ้อมเวทมนตร์เท่านั้น
สำหรับอลิสนั้น, การได้ชนะด้วยพลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น ไม่ก่อให้เกิดความสำราญหรืออะไรทั้งนั้น
เธอจึงมักจะดูท่าทีของคู่ต่อสู้ แล้วค่อยเข้าต่อสู้โดยปรับพลังให้เหนือกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และต่อให้แพ้เธอก็ไม่แสดงพลังทั้งหมดออกมา

เธอเชื่อว่า หากสู้ด้วยพลังทั้งหมดแล้วยังแพ้ ก็จะไม่มีวันชนะอีกต่อไป
นิสัยแปลกๆนี้คล้ายกับเรย์มุทีเดียว


Tips :
- สุนัขกับลิง ... สำหรับประเทศไทยก็คือ หมากับแมว หรือ แมวกับหนู นั่นเอง
- เพราะไม่ชอบเอาจริง จึงต้องคอยข่มพลังที่แท้จริงไว้ และปรับใช้ให้พอเหมาะ ...
ท่าน ZUN จึงใช้คำว่า ควบคุมและใช้ (扱う) แทนคำว่า ใช้ (使う) อย่างของมาริสะ




 ○ ภูตผู้นำพาฤดูใบไม้ผลิ
   ลิลลี่ไวท์

   บอสกลางด่าน 4, โยวเซย์ที่จะโผล่ออกมาเมื่อฤดูใบไม้ผลิใกล้มาถึง
   มีความสามารถในการแจ้งการมาของฤดูใบไม้ผลิ

ไม่มีบทพูดในเกมเลยแม้แต่นิดเดียว สเปลการ์ดก็ใช้ไม่ได้
มีความสามารถแค่พอจะปลูกขนให้พวกเบ๊เท่านั้น

เธอบินขึ้นมาดูที่บริเวณเหนือเมฆบนท้องฟ้า เพราะรอเท่าไหร่ฤดูใบไม้ผลิก็ไม่มาสักที และเธอก็พบว่าที่นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว
เธอเพียงแค่อยากจะป่าวประกาศให้มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ารู้ว่า เธอสู้อุตส่าห์ฝ่าบินขึ้นมาถึงเหนือเมฆจนในที่สุดก็ได้พบว่าฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้วเท่านั้น
แต่ในสายตาของพวกเรย์มุนั้น มันคือการโจมตีธรรมดาดีๆนี่เอง


Tips :
- เข้าใจว่าเธอคงป่าวประกาศการมาของฤดูใบไม้ผลิด้วยเวทมนตร์ ... มันจึงกลายเป็นการโจมตีไปซะอย่างนั้น




 ○ สามพี่น้องวิญญาณหลอน
  คนโต (ซ้าย) ลูนาซ่า ปริซึมริเวอร์
  คนรอง (กลาง) เมแลง ปริซึมริเวอร์
  คนเล็ก (ขวา) ลิริก้า ปริซึมริเวอร์

   บอสด่าน 4, กลุ่มนักดนตรีวิญญาณหลอน ความหนวกหู x3
   มีความสามารถในการบรรเลงดนตรีได้โดยไม่ต้องสัมผัสเครื่องดนตรี x3

พวกเธอถูกเรียกมายังตระกูลไซเกียวจิเพื่อแสดงดนตรี โดยได้รับคำมั่นว่าจะให้ร่วมชมดอกไม้เป็นการตอบแทน
ทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสใดก็ตาม ทั้งสามก็จะถูกเรียกมาแสดงดนตรีให้บรรยากาศในงานคึกคักขึ้น
พวกเธอจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม ยูวเรย์ทิงดองยะ (วงมโหรีผี)
ในครั้งนี้ตระกูลไซเกียวจิแจ้งว่าจะจัดงานชมดอกไม้ครั้งใหญ่ขึ้น จึงถูกเรียกตัวมาเช่นเคย


  ลูนาซ่าเป็นพวกนักเรียนดีเด่นที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็จะเอาชนะอย่างตรงไปตรงมาสง่าผ่าเผยและเข้มเข็ง เนื่องจากเธอเกลียดการอ้อมค้อม
เธอเป็นคนที่จะทำในเรื่องที่ต้องทำ แต่ลักษณะภายนอกแลดูมืดมน
นอกจากนี้ยังเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงถูกหลอกลวงได้ง่าย
เครื่องดนตรีที่ใช้ได้อย่างชำนาญคือพวกเครื่องสาย โดยเฉพาะไวโอลิน
ปกติเธอชอบที่จะบรรเลง Solo

  เมแลงเป็นพวกที่แปลกๆนิดหน่อย
เธอมีพลังเวทมนตร์แข็งแกร่งที่สุดในสามพี่น้อง แต่ชอบเอาไปใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เธอเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสอย่างเหลือล้น จนดูเหมือนคึกคะนองไปเลย
เครื่องดนตรีที่ใช้ได้อย่างชำนาญคือพวกเครื่องเป่า โดยเฉพาะทรัมเป็ต

  ลิริก้าเป็นคนเจ้าเล่ห์, ปกติเธอจะยุแหย่พี่สาวของเธอให้เข้าไปทำการต่อสู้แทนตัวเอง
เธอคิดถึงแต่เรื่องการใช้พลังให้น้อยที่สุดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดเท่านั้น
เธอเป็นคนที่รู้จักการวางตัว ทั้งยังฉลาดหลักแหลม
เธอสามารถคำนวณท่าทางหรือการกระทำของฝ่ายตรงข้ามล่วงหน้าไปได้ไกลถึง 3 ก้าวเลยทีเดียว
แม้ว่าเธอจะถนัดเครื่องดนตรีทุกประเภท แต่เธอมักจะรับหน้าที่เล่นเครื่องดีดหรือเครื่องเคาะเป็นประจำ


การกำเนิดของทั้งสามคนนี้ ต้องย้อนกลับไปในอดีตกาลนานแสนนาน
สมัยนั้นมีขุนนางมนุษย์นามว่า เคานท์ปริซึมริเวอร์ อยู่คนหนึ่ง
ท่านเคานท์มีบุตรีอยู่สี่คน ซึ่งได้รับความเอ็นดูจากท่านเคานท์เป็นอย่างมาก

ทว่า, เด็กสาวทั้งสี่มีอันต้องสูญเสียครอบครัวไปด้วยอุบัติเหตุที่น่าเศร้า
เหล่าเด็กสาวไร้ญาติจึงแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
เว้นแต่ เลย์ล่า น้องคนที่สี่เท่านั้นที่ไม่อาจตัดใจไปจากคฤหาสน์แห่งความทรงจำนี้ได้
เลย์ล่าใช้พลังทั้งหมดที่ตัวเองมี สร้างวิญญาณหลอนที่มีรูปร่างเหมือนพี่สาวทั้งสามขึ้นมา
และพวกเธอทั้งหมดก็หายสาบสูญไปพร้อมกับคฤหาสน์หลังนี้

กาลเวลาผ่านไป, ความตายของสี่สาวกลายเป็นอดีต หากแต่คฤหาสน์ยังคงหลงเหลืออยู่ในเกนโซวเคียวในฐานะ คฤหาสน์วิญญาณหลอน
ปัจจุบัน สามพี่น้องวิญญาณหลอนก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์นั้นอย่างครึกครื้น

การบรรเลงดนตรีของทั้งสามจะถูกป่าวประกาศไปยังที่ต่างๆ
ด้วยการประสานระหว่างจังหวะที่เบาสบายและเครื่องดนตรีที่คลาสสิค ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้อาศัยในโลกวิญญาณที่แสนจะสดใสร่าเริง
และการบรรเลงดนตรีก็ไม่มีผลกระทบข้างเคียง จึงไม่จำเป็นต้องบำบัดรักษาผู้ใด


Tips :
- วิญญาณหลอน ในที่นี้ก็คือ Poltergeist หรือก็คือพวกผี-วิญญาณที่ชอบสร้างเสียงหนวกหูในบ้านนั่นเอง
- ทิงดองยะ หมายถึง กลุ่มนักดนตรีที่ถูกจ้างมาให้แสดงดนตรีตามท้องถนนเพื่อโฆษณาสินค้า มักประกอบด้วยเครื่องดนตรีสามชนิด
- ในญี่ปุ่นมีสามแบบได้แก่ ทำเรื่องที่ต้องทำ ทำเมื่อถึงเวลา ทำเมื่อถูกกระทำ
- คฤหาสน์วิญญาณหลอน นิยมเรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่า คฤหาสน์ปริซึมริเวอร์
- ไม่ปรากฏว่าคฤหาสน์ปริซึมริเวอร์เข้ามายังเกนโซวเคียวได้อย่างไร อาจจะวาร์ปมาด้วยพลังของเลย์ล่าก็เป็นได้
- เมื่อเทียบกับโรมะจิที่กำกับวิธีอ่านแล้ว คาดว่าชื่อ Merlin เป็นภาษาฝรั่งเศส จึงอ่านว่า เมแลง
- เนื่องจากบั๊กภายในเกมตอนใช้ท่าประสาน ทำให้บางครั้งเมแลงเคลื่อนที่ผิดไปจากที่ควร เธอจึงมักถูกแฟนๆล้อให้ชอบทำอะไรแผลงๆในบางครั้ง
- เสียงของผี-วิญญาณ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ฟัง แต่ถ้าทั้งสามบรรเลงเพลงร่วมกันจะหักล้างผลข้างเคียงกันเองจนไม่เกิดอะไรขึ้น




 ○ คนสวนปลีกวิเวก
   คอนปาคุ โยวมุ

   บอสด่าน 5, ลูกครึ่งมนุษย์กับยูวเรย์(ผี)
   คนสวนรุ่นที่สองในสังกัดตระกูลไซเกียวจิควบตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์คุณหนูแห่งไซเกียวจิ
   มีความสามารถในการควบคุมและใช้วิชาดาบ

โยวมุคอยดูแลสวนโดยใช้ดาบสองเล่ม ได้แก่
ดาบยาว 「โรวคันเคน (ดาบหอสังเกตการณ์)」 ที่สามารถฟาดฟันยูวเรย์ 10 ตนให้สาหัสได้ในดาบเดียว และ
ดาบสั้น 「ฮาคุโรวเคน (ดาบตำหนักขาว)」 ที่สามารถตัดความว้าวุ่นสับสนในจิตใจของมนุษย์ให้ขาดสะบั้นได้

คอนปาคุ โยวคิ คนสวนรุ่นก่อนซึ่งทำงานมานานถึง 300 ปี จู่ๆวันหนึ่งก็เกิดรู้แจ้งสัจธรรมขึ้นมา จึงปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
โดยได้ทำการสืบทอดตำแหน่งให้แก่โยวมุในตอนนั้น ซึ่งยังเด็กเกินไปนัก
วิชาดาบของโยวมุยังไม่สมบูรณ์ เธอจึงเฝ้าฝึกฝนวิชาอยู่ทุกวันมิได้ขาดเพื่อให้ตนเองบรรลุวิชาดาบ
คนรุ่นก่อนที่ควรจะเป็นอาจารย์คอยสอนสั่งก็ปกปิดที่อยู่ของตน แม้แต่โยวมุก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
โยวมุได้แต่คิดว่า นี่อาจจะเป็นบทเรียนหนึ่งที่ได้รับมอบมาก็เป็นได้

ในครั้งนี้ เธอได้รับคำสั่งจากคุณหนูแห่งไซเกียวจิให้หาทางทำให้ไซเกียวอายาคาชิบานสะพรั่งให้ได้
เธอจึงไปรวบรวมฤดูใบไม้ผลิมาจากเกนโซวเคียว

ตำหนักหยกขาวแห่งนี้ มีต้นซากุระอื่นๆนอกเหนือจากไซเกียวอายาคาชิอยู่มากมาย แต่ทุกๆปีจะมีเพียงไซเกียวอายาคาชิเท่านั้นที่ดอกไม้ไม่ยอมบาน
คนสวนรุ่นก่อนเคยเห็นมันบานมาแล้ว แต่ก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า

「นั่นเป็นซากุระที่สุดยอดเลยล่ะ, แต่ว่าคงไม่บานขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว」

โยวมุในตอนนั้นไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยิน และในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงที่คุณหนูแห่งไซเกียวจิสั่งการลงมาเช่นนี้

โยวมุรับผิดชอบดูแลสวนของตระกูลไซเกียวจิที่ว่ากันว่ากว้างถึง 200 โยชน์ (แน่นอนว่าคุณหนูก็พูดเกินจริงไปหน่อย)
สวนแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยซากุระที่มีจำนวนมากมายอย่างน่าสะพรึงกลัว จึงเป็นแหล่งชมดอกไม้ขึ้นชื่อของเหล่าผู้อาศัยในโลกวิญญาณ
พอถึงฤดูใบไม้ผลิของแต่ละปี โยวมุก็จะงานยุ่งมากเพราะต้องตามเก็บกวาดหลังงานชมดอกไม้เลิก

ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น, เหล่าผีต่างประทับใจเป็นอย่างมากที่ได้ชมลวดลายดอกไม้บานอันแสนวิจิตรตระการตา ที่หาดูได้ยากในช่วงหลายปีมานี้
ไม่ว่าผีตนใดก็ล้วนกล่าวว่า 「ดีจริงที่ได้เป็นผี」
แต่โยวมุที่เป็นมนุษย์อยู่ครึ่งร่างนั้นเห็นด้วยเพียงครึ่งเดียว เธอจึงกล่าวว่า 「ดีครึ่งหนึ่งที่เป็นผีอยู่ครึ่งหนึ่ง」

ที่เหลือก็แค่รอคอยการเบ่งบานของไซเกียวอายาคาชิเท่านั้น


Tips :
- ไม่มีการระบุว่า คอนปาคุ โยวคิ เป็นชายหรือหญิง และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับโยวมุ
แต่โดยมากเชื่อกันว่าเป็นพ่อ-ลูกกัน เพราะโยวมุเป็นรุ่นที่สอง และชื่อโยวคินั้นฟังดูเป็นชื่อผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- [ฤดูใบไม้ผลิ] ในเกมนั้นมีรูปร่างเป็นกลีบซากุระ เมื่อเก็บได้จะเพิ่มค่า Cherry Point (แต้มซากุระ) ให้แก่ผู้เล่น
- ถ้าจะว่าไปแล้ว สิ่งที่โยวมุกำลังรวบรวมอยู่ก็คือ Cherry Point นั่นเอง
- 1 โยชน์ มีความยาวในหน่วยเมตรแตกต่างกันออกไปตามมาตรฐานของแต่ละความเชื่อ
ในศาสนาพุทธ(ญี่ปุ่น)เชื่อว่า 1 โยชน์ = 7.2 กิโลเมตร ส่วนอินเดียเชื่อว่าเป็น 6.6 กิโลเมตร ในขณะที่ยุโรปเชื่อว่าเป็น 11.3 - 14.5 กิโลเมตรโดยประมาณ
แม้ว่าปัจจุบันจะมีเพียงอินเดียที่ยังใช้หน่วยโยชน์อยู่ และมีการกำหนดค่าแน่นอนแล้วว่าเท่ากับ 6.6 กิโลเมตร
แต่โยวมุใช้วิชาดาบที่อ้างอิงศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงควรใช้หน่วยวัดแบบญี่ปุ่นมากกว่า ฉะนี้แล้วจะได้ความกว้าง = 1,440 กิโลเมตร
- ปีนี้ดอกไม้ที่โลกวิญญาณบานสวยกว่าทุกปี เพราะโยวมุไปรวบรวม[ฤดูใบไม้ผลิ]จากเกนโซวเคียวมาไว้ที่นี่นั่นเอง




 ○ สาวน้อยวิญญาณแห่งตำหนักมรณะ
   ไซเกียวจิ ยูยูโกะ

   Last Boss, คุณหนูแห่งตระกูลไซเกียวจิผู้สืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณ, ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงแห่งวิญญาณ
   มีความสามารถในการควบคุมความตาย

ในอดีตนั้น เกนโซวเคียวเคยมีนักกวีผู้ยิ่งใหญ่อยู่คนหนึ่ง
นักกวีผู้ยิ่งใหญ่นั้นรักธรรมชาติเป็นอย่างมาก จึงออกเดินทางไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันตาย
ครั้นเมื่อทราบถึงเวลาตายของตนเอง ก็ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของตน นั่นคือการได้หลับใหลชั่วนิรันดร์ใต้ต้นซากุระที่งดงามตระการตาที่สุด

หลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา เจ้าต้นซากุระก็ยิ่งเบ่งบานงดงามขึ้นเรื่อยๆ และดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มานอนหลับชั่วนิรันดร์ใต้ต้นมัน
เจ้าซากุระที่มีมนต์เสน่ห์แห่งความตายนั้นเริ่มมีพลังภูตขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้


นับจากตอนนั้นก็ผ่านมาเกินกว่าพันปีแล้ว

ตระกูลไซเกียวจินั้นเป็นที่ตั้งของโยวไคซาคุระในตำนานดังกล่าว ซึ่งมีนามว่า 「ไซเกียวอายาคาชิ」
ตั้งแต่ยูยูโกะมาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูใบไม้ผลิ มันก็ไม่เคยเบ่งบานให้เห็นเลย

วันหนึ่ง ในขณะที่ยูยูโกะกำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเหมือนทุกที เธอก็ได้พบกับบันทึกโบราณในชั้นหนังสือเข้า
บันทึกนั้นพรรณนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสมัยใดก็ไม่อาจทราบได้อยู่ ดังนี้ ...

「สาวน้อยผู้ไม่ย่อท้อ, ยามเมื่อไซเกียวอายาคาชิบานสะพรั่งสมบูรณ์, จักกั้นแบ่งพรมแดนระหว่างสองโลก (หลังจากที่สิ้นใจแล้ว),
วิญญาณนั้นจักหลับใหลอย่างสงบในตำหนักหยกขาว, และผนึกดอกไม้ของไซเกียวอายาคาชิ, เกิดเป็นเขตแดนที่ควบคุมวงจรนี้
หากขอร้องได้ล่ะก็ จงลืมเรื่องการกลับชาติมาเกิดไปตราบจนชั่วนิรันดร์ เพื่อไม่ต้องกลับมาลิ้มรสความทรมานนี้อีกเป็นครั้งที่สอง...」

ยูยูโกะคิดว่า ถ้าหากปลดผนึกไซเกียวอายาคาชิและทำให้ดอกไม้บานสะพรั่งได้ล่ะก็ คงจะทำให้ใครสักคนฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
ยูยูโกะจึงรวบรวมระดับฤดูใบไม้ผลิโดยมีความสนใจใคร่รู้ของตนเองเป็นที่ตั้ง

แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่มีตัวตนในโลกวิญญาณนั้นล้วนเป็นยูวเรย์(ผี)เสียส่วนใหญ่
ด้วยเหตุนี้เอง ยูยูโกะจึงสงสัยและสนใจในตัวศพที่หลับใหลอยู่ใต้ต้นไซเกียวอายาคาชิแห่งโลกวิญญาณนี้อย่างมาก
จึงตัดสินใจที่จะทำการคลายผนึกนี้ออกให้จงได้
โดยปกติแล้วยูยูโกะนั้นทำได้เพียงแค่ชักจูงมนุษย์หรือโยวไคให้เข้าหาความตายเท่านั้น
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอพยายามชุบชีวิตคนตายขึ้นมา


ด้วยความพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของโยวมุ ทำให้ซากุระอื่นๆนอกจากไซเกียวอายาคาชิบานสะพรั่งสมบูรณ์กันหมดแล้ว
ดอกไม้ของไซเกียวอายาคาชิเองก็เริ่มบานแล้วเช่นกัน
เหลืออีกเพียงก้าวเดียว ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อย หากแต่เกนโซวเคียวที่คับแคบมาแต่ไหนแต่ไรนั้นก็แทบจะไม่มีฤดูใบไม้ผลิหลงเหลือแล้ว

แต่จากที่นั่นเอง, มนุษย์ผู้มีฤดูใบไม้ผลิติดตัวอยู่น้อยนิดได้มุ่งหน้ามาเยือนโลกวิญญาณโดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน

ฉะนี้เอง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงฤดูใบไม้ผลิที่เหลือสำหรับก้าวสุดท้ายของแผนการใหญ่ จึงบังเกิดขึ้น



แต่อาจเป็นเพราะยูยูโกะใช้ชีวิตประจำวันอย่างสงบสุขเกินไป หรืออาจเป็นเพราะบันทึกนั้นมันเก่าจนเกินไป
เธอจึงไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งถึงจุดสรุปของเรื่องราวว่า สาวน้อยที่เสียชีวิตในบันทึกนั้นก็คือ เธอเอง

แต่เดิมยูยูโกะนั้นเคยเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการควบคุมวิญญาณคนตาย
และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นความสามารถในการชักจูงสู่ความตาย ซึ่งสามารถไล่ต้อนผู้คนให้ไปสู่ความตายได้อย่างง่ายดาย
เธอรังเกียจความสามารถของตนเองจนในที่สุดก็ฆ่าตัวตาย

ครั้นเมื่อกลายเป็นโบวเรย์(วิญญาณ) ก็ลืมเลือนเรื่องราวสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้น
กลายเป็นว่าเธอสนุกกับการชักจูงผู้คนไปสู่ความตายไปเสียแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

การที่ยูยูโกะนั้นยึดติดอยู่ในตำหนัก ไม่กลับชาติไปเกิดใหม่และไม่ดับสูญ ก็เพราะผนึกของไซเกียวอายาคาชินั่นเอง
พริบตาที่เขตแดนนี้ถูกคลายออก เวลาที่เคยหยุดเดินไปแล้วก็จะกลับมาไหลตามเดิมอีกครั้ง ยังผลให้ความตายของยูยูโกะกลับมาอีกครา
กล่าวคือ การทำให้ตนเองคืนชีพนั้นเกี่ยวพันกับการทำให้ตนเองที่อยู่ในตำหนักหยกขาวดับสูญไปด้วย
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่แผนการชุบชีวิตนี้จะผิดพลาดมาตั้งแต่แรก

สุดท้ายแล้ว ยูยูโกะก็ทำได้เพียงควบคุมความตายเท่านั้น

คอนปาคุ โยวคิ ซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ก็แก่ตัวลงไปอย่างช้าๆตามธรรมชาติของร่างครึ่งมนุษย์


จากนี้ไปไม่ว่าจนถึงเมื่อไหร่ ยูยูโกะก็จะยังคงเป็นเจ้าหญิงแห่งโลกวิญญาณ
และใช้ชีวิตในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลไซเกียวจิที่ไร้ซึ่งผู้สืบวงศ์วานตลอดไป

   วันที่ยูยูโกะจะได้ชมไซเกียวอายาคาชิบานสะพรั่งสมบูรณ์นั้น, ไม่มีทางมาถึงได้เลย


Tips :
- นักกวีผู้ยิ่งใหญ่ นั้นมิได้หมายถึงยูยูโกะ หากแต่หมายถึงบิดาของเธอ (อ้างอิงจากโทวโฮวกุมอนชิคิ)
- ต้นแบบของบิดาของยูยูโกะ มาจากนักกวีชื่อดังของญี่ปุ่นนาม ไซเกียว
ไซเกียว มีชื่อเดิมว่า ซาโตว โนริคิโยะ ออกบวชตอนอายุประมาณ 22-23 ปี และออกท่องเที่ยวแต่งกวีไปเรื่อยจนมีชื่อเสียง
ในบั้นท้ายของชีวิต เขามุ่งหวังที่จะได้จบชีวิตลงใต้ต้นซากุระที่งดงาม และได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ณ วัดฮิโรคาวะ
- 富士見 ฟุจิมิ หมายถึง การเดินทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิเพื่อชื่นชมความงาม ซึ่งต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก
- 富士見 พ้องเสียงกับ 不死身 หมายถึง ผู้มีความอดทน ความพยายาม มุ่งไปข้างหน้า ไม่ยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วย จึงเลือกแปลว่า ผู้ไม่ย่อท้อ
- พรมแดนระหว่างสองโลก หมายถึง โลกนี้กับโลกหน้า นั่นเอง
- "ระดับฤดูใบไม้ผลิ" ที่ยูยูโกะพูดถึง ก็คือ Cherry Point นั่นเอง

- อธิบายเรื่อง "การคลายผนึก" (ตามความเข้าใจของผู้แปล)
ก่อนอื่นขออธิบายเสริมในประโยคท้ายๆว่า
"การทำให้ศพ(ตัวตนในอดีต)คืนชีพนั้นเกี่ยวพันกับการทำให้(วิญญาณซึ่งเป็นตัวตนปัจจุบันของ)ตนเองที่อยู่ในตำหนักหยกขาวดับสูญไปด้วย"
และต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่ใช้ผนึกไซเกียวอายาคาชิก็คือ วิญญาณ(ตัวตนในปัจจุบัน)ของยูยูโกะ (อ้างอิงจากบันทึกเก่าแก่ข้างต้น)
หากคืนชีพให้ศพได้สำเร็จ ก็จะทำให้วิญญาณดับสูญ ซึ่งจะยังผลให้ไซเกียวอายาคาชิสามารถบานสะพรั่งสมบูรณ์ได้ เพราะไม่มีผนึกแล้ว
หากแต่ "พริบตาที่เขตแดนนี้ถูกคลายออก เวลาที่เคยหยุดเดินไปแล้วก็จะกลับมาไหลตามเดิมอีกครั้ง ยังผลให้ความตายของยูยูโกะกลับมาอีกครา"
ซึ่งกลไกอัตโนมัติที่ถูกวางเอาไว้ในเขตแดนนี้ก็คือ ยูยูโกะตาย --> วิญญาณถูกรั้งไว้ในตำหนัก --> วิญญาณกลายเป็นผนึก --> ซากุระไม่บาน
ด้วยเหตุนี้ยูยูโกะจึงไม่มีวันได้เห็นไซเกียวอายาคาชิบานสะพรั่งสมบูรณ์
เพราะไม่ว่าผนึกจะคลายออกเพราะศพคืนชีพหรือวิญญาณดับสูญก็ตาม ผนึกก็จะกลับมาทำงานอีกครั้งอยู่ดี และยูยูโกะ(วิญญาณ)ก็จะกลับมาอีกครั้ง

- เกี่ยวกับสเปลสุดท้ายของด่าน 6 ภาค 7
สิ่งที่เราพบได้จากการเล่นในเกมคือ เรายิงยูยูโกะจนสลายหายไป จากนั้นจะปรากฏเงาสีดำคล้ายยูยูโกะขึ้นในฉาก โดยมีฉากหลังเป็นไซเกียวอายาคาชิ
จากนั้นเงาสีดำก็เริ่มปลดปล่อยสเปลสุดท้ายออกมา โดยที่เราไม่สามารถยิงโดนอะไรได้เลย และเมื่อครบหนึ่งนาที สเปลนี้ก็จะหยุดลงไปเอง
ผู้แปลมีความเห็นว่า เราคงยิงยูยูโกะจนวิญญาณของเธอแตกดับไป ทำให้ผนึกคลายออก ไซเกียวอายาคาชิจึงเริ่มเบ่งบานอีกครั้ง
แต่ด้วยกลไกของเขตแดน ทำให้ผนึกเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง และปิดผนึกการบานของไซเกียวอายาคาชิลงก่อนที่มันจะบานสะพรั่งสมบูรณ์
โดยอัตราการเบ่งบานขึ้นอยู่กับโหมดที่เล่น (ดูในส่วนของสเปลการ์ดด่าน 6) และกระบวนการทำงานของเขตแดนนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น
ซึ่งแม้จะเล่นในระดับความยากสูงสุด ก็ยังเบ่งบานเต็มที่เพียง 80% เท่านั้น

- หากมองจากจุดนี้ อาจกล่าวได้ว่าตัวตนของยูยูโกะในปัจจุบันนั้นเป็นอมตะ เพราะแม้จะสูญสลายไปก็ฟื้นกลับมาได้ด้วยกลไกของเขตแดนอยู่ดี




 ○ ภูตรับใช้ของภูตรับใช้ของโยวไคแห่งช่องว่าง
   เชน

   บอสกลางด่าน Extra
ทั้งๆที่ไม่มีช่วงเวลาให้รักษาบาดแผลที่ได้จากครั้งก่อนให้หายสนิท แต่ก็ต้องมาสู้กันอีกครั้ง
คราวนี้มีเจ้านายอยู่ใกล้ๆด้วย จึงมีพลังภูตแข็งแกร่งกว่าเดิม
แต่พลังนั่นน่ะ, มันจะใช้ได้ผลกับมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ารึเปล่านะ ?



 ○ ภูตรับใช้ของโยวไคแห่งช่องว่าง
   ยาคุโมะ รัน

   Extra Boss, ภูตรับใช้ของยูคาริ, คอยทำงานแทนยูคาริที่กำลังหลับอยู่
   มีความสามารถในการใช้ภูตรับใช้

วันหนึ่งๆ ยูคาริจะนอนเป็นเวลานาน 12 ชั่วโมง และจะทำงานเฉพาะในเวลาเย็นจนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นยังนอนจำศีลในฤดูหนาวอีกด้วย
ดังนั้นในช่วงที่นอนหลับอยู่นี้ เธอก็จะใช้ให้ภูตรับใช้ตนนี้ทำงานแทน

รันกลายเป็นภูตรับใช้มาค่อนข้างนานมากแล้ว จึงมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าโยวไคในละแวกนั้นเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงมีพลังมากพอที่จะมีภูตรับใช้เป็นของตัวเองอีกทอดหนึ่ง
บางทีอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองเป็นภูตรับใช้ของยูคาริอยู่

ทุกๆปี, เมื่อถึงฤดูที่ซากุระเบ่งบานก็จะไปยังแหล่งชมดอกไม้เลื่องชื่อของโลกวิญญาณกัน
พอเริ่มรู้สึกได้ว่า ซากุระปีนี้ช่างให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ, จู่ๆก็มีมนุษย์แปลกๆที่มีชีวิตเข้ามาแทรกกลางคัน
เธอรู้สึกว่าน่าสนใจดี จึงเฝ้าดูสถานการณ์อยู่พักหนึ่ง

หลังจากนั้นเธอก็ได้ทราบว่าเชนซึ่งเป็นภูตรับใช้ของตนถูกมนุษย์พวกนี้เล่นงาน เธอจึงเริ่มวางแผนล้างแค้นทันที

ร่างจริงของเธอคือปิศาจจิ้งจอก(บาเคะคิทสึเนะ)
รูปลักษณ์ปรากฏไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเวลาปกติเช่นเดียวกับเชน แต่เธอกลับมีนิสัยเข้ากับผู้อื่นได้ดี
และต่อให้พยายามจะไม่สังเกตก็ยังเห็นว่ามีหาง
อันที่จริงเธอมีพลังมากพอสมควรมาตั้งแต่สมัยที่ใช้ร่างจริงแล้ว

ตอนที่กำลังเกิดเรื่องวุ่นวายอยู่นี้ เจ้านายของเธอก็ยังคงหลับปุ๋ย~อยู่เลย


Tips :
- รัน เป็นชื่อที่ยูคาริตั้งให้พร้อมมอบนามสกุล ยาคุโมะ ... ชื่อจริงของเธอไม่ปรากฏแน่ชัด
- โดยปกติแล้ว สัตว์ภูตที่มีอายุครบ 100 ปีจะมีหางเพิ่มมาหนึ่งหาง และจำนวนหางเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงพลังของสัตว์ภูตนั้นๆ
- รันเป็นจิ้งจอกที่มีขนสีทอง นัยน์ตาสีทอง จึงอาจสรุปได้ว่าเธอเป็นภูตจิ้งจอกระดับจิ้งจอกสวรรค์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี
- โยวไคจิ้งจอกที่มีเก้าหางและขนสีทอง ... เกี่ยวข้องอะไรกับจิ้งจอกเก้าหางในตำนานญี่ปุ่นหรือไม่นั้น ไม่ปรากฏข้อมูลแน่ชัด
- จิ้งจอกเก้าหางในตำนานญี่ปุ่นได้แปลงร่างเป็นหินสังหาร หลังจากที่ถูกสังหาร, ซึ่งรูปออร่าด้านหลังของรันในเกม ก็คือรูปหินสังหารก้อนนั้นนั่นเอง
แต่รันจะเกี่ยวข้องอะไรกับจิ้งจอกเก้าหางในตำนานญี่ปุ่นหรือไม่ ไม่ปรากฏข้อมูลแน่ชัด ... ถึงมันจะชัดขนาดนี้แล้วก็เถอะนะ




 ○ ตัวการใหญ่แห่งเทพลักซ่อน
   ยาคุโมะ ยูคาริ

   โยวไคแห่งช่องว่างที่จะลืมตาตื่นเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ
   มีความสามารถในการควบคุมอาณาเขตทั้งหลายทั้งปวง

เพื่อนเก่าของยูยูโกะ แต่เธอไม่ได้เป็นยูวเรย์แต่อย่างใด
เป็นโยวไคที่อาศัยอยู่ ณ สุดขอบพรมแดนที่สุดของเกนโซวเคียวอย่างเงียบงัน
เธอใช้ชีวิตที่นี่โดยเฝ้าดูมหาเขตแดนฮาคุเรย์ไปพลางๆ

การที่มีมนุษย์หลุดหลงเข้ามาในเกนโซวเคียวเป็นบางครั้งนั้นก็เป็นเพราะยูคาริทำให้อาณาเขตเกิดการสั่นไหวนั่นเอง
แม้พวกมนุษย์จะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า เทพลักซ่อน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่การกระทำของเทพแต่อย่างใด
ถ้าหากรู้ว่าเป็นฝีมือของโยวไคสาวน้อยตนนี้แล้วล่ะก็ ความลี้ลับซับซ้อนอะไรเทือกนั้นคงมลายไปสิ้นเป็นแน่

โดยปกติแล้วยูคาริจะไม่เคลื่อนไหวมากนัก เธอมักใช้ชีวิตโดยควบคุมรันที่เป็นภูตรับใช้ให้ทำงานแทนตน
แต่เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการนอน และระหว่างที่นอนก็ปล่อยให้รันทำทุกอย่างตามอำเภอใจ
จึงไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าวันๆหนึ่งเธอทำอะไรบ้าง

พอได้ยินว่ารันซึ่งเป็นภูตรับใช้ของตนถูกใครบางคนเล่นงานพ่ายแพ้มาก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ก็นอนต่อรอบสองอยู่ดี

เมื่อตื่นขึ้นมาจากการนอนรอบสอง ก็รู้สึกตัวเสียทีว่าบริเวณรอบๆได้กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิไปหมดแล้ว
อันที่จริงก็เป็นฤดูใบไม้ผลิมาตั้งแต่เมื่อ 10 วันก่อนแล้ว แต่เธอนอนหลับไปทีไรก็ลืมทุกที เมื่อตื่นขึ้นมาก็เลยประหลาดใจทุกครั้ง

ระหว่างที่รอให้รันฟื้นสภาพอย่างสมบูรณ์ เธอก็คิดขึ้นมาว่า จะหลับอย่างสบายใจไม่ได้เลยรึไงน้า... แล้วก็หลับไปอีกเป็นครั้งที่สาม

และช่วงนั้นเองที่เธอได้รับคำขอจากยูยูโกะให้ช่วยซ่อมแซมพรมแดนยมโลกที่อ่อนแอลงเนื่องจากความวุ่นวายในครั้งนี้
ตัวเองเป็นคนทำให้มันอ่อนแอลงเองเลยรู้สึกไม่อยากซ่อมเอาเสียเลยน้า... ยูคาริคิดไปพลางขยี้ตาไปพลาง แล้วก็ออกเดินทาง

ยูคาริซึ่งไม่ได้มาเยือนโลกวิญญาณเสียนานรู้สึกว่าที่นี่คึกคักจอแจอย่างน่าอัศจรรย์
ถึงเธอจะคิดว่า...ตระกูลไซเกียวจิมันน่าจะเงียบสงบกว่านี้ไม่ใช่รึไงนะ ?... แต่เธอก็ยอมรับได้ด้วยตัวเองที่รสนิยมของยูยูโกะเปลี่ยนแปลงไป

ยูคาริได้พบกับโยวมุระหว่างทาง และได้รับฟังรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมด
ท่าทางการพูดของโยวมุเหมือนจะบอกว่าได้เจอเรื่องร้ายมา แต่ยูคาริฟังยังไงก็ได้ยินเป็นเรื่องของกรรมตามสนองเท่านั้น

ดูเหมือนทุกคนจะถูกเจ้าโยวไคซาคุระนั่นปั่นหัวเล่นเท่านั้น
เจ้าซากุระนั่นดูดกินพลังชีวิตของผู้คนมามากเกินไป เธอจึงคิดอยู่เสมอว่ามันตัวเป็นอันตราย
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น เธอก็เข้าใจดีว่าด้วยพลังของตัวเธอนั้น ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
ยูคาริรู้จักยูยูโกะมาตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
เธอรู้ดีว่าที่จริงแล้ว ยูยูโกะไม่ได้ถูกผนึกในโยวไคซาคุระ หากแต่ศพของยูยูโกะต่างหากที่ผนึกโยวไคซาคุระเอาไว้



.........................................................................................................................................................................................