CoLA - 025


東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย


.........................................................................................................................................................................................


ตอนที่ 25
「อานิสงส์ของศาลเจ้า」

 

(เมื่อเทพเจ้าได้รับศรัทธาก็จะมีพลังมากขึ้นและแสดงเดชานุภาพออกมา ทำให้บังเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เคารพศรัทธา ซึ่งผลประโยชน์นี้ล่ะที่เรียกว่า อานิสงส์)

ภูเขามีเทพเจ้าแห่งภูเขา, แม่น้ำมีเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ
ทุกสิ่งและทุกสถานที่ในแผ่นดินนี้ล้วนมีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่
ทั้งหนังสือที่อยู่ในมือเล่มนี้ ทั้งอุปกรณ์กึ่งตัวนำที่เก็บได้นี้ ต่างก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

แต่ในบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้นก็มีเทพเจ้าที่พิเศษบางองค์ที่ถูกบวงสรวงอยู่ในศาลเจ้า
เทพเจ้าแบบนี้ต่างจากเทพเจ้าองค์อื่นอย่างไรงั้นหรือ ? ที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ก็แค่เรื่องของระดับความนิยมที่เทพเจ้าแต่ละองค์มีอยู่เท่านั้นเอง

เทพเจ้าที่มีอานิสงส์ต่อมนุษย์จะได้รับความนิยม
เทพเจ้าที่หากไม่บวงสรวงแล้วจะสาปแช่งใส่มนุษย์ก็มีอยู่
แต่เพราะบวงสรวงเทพสาปแช่งแล้วช่วยให้หลีกเลี่ยงคำสาปแช่งได้, หากถามว่าเป็นที่นิยมหรือไม่ก็คงต้องบอกว่าเป็นที่นิยม

มีเฉพาะเทพเจ้าลักษณะดังกล่าวเท่านั้นที่อยู่ในศาลเจ้า
ตัวตนของศาลเจ้าจะได้รับความนิยมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับมนุษย์เป็นผู้กำหนดตามความสะดวกของตน แต่มันไม่มีความหมายต่อเทพเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว

นอกจากนี้ พลังของเทพเจ้ายังขึ้นอยู่กับปริมาณศรัทธาที่ได้จากมนุษย์
ยกตัวอย่างเช่น เทพเจ้าผู้เป็นที่นิยมในหมู่มนุษย์ อย่างท่านเทนจินหรือคุณอินาริ สององค์นี้มีผู้สร้างศาลเจ้าให้มากมาย
จนตอนนี้มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าตัวตนที่ใช้ชื่อเดิมว่า สึกาวาระ โนะ มิฉิซาเนะ และ อุคาโนะมิทามะโนะคามิ (ตามลำดับ) เป็นอย่างมาก

ในทางตรงข้าม หากศรัทธาลดน้อยลงเรื่อยๆแล้วจะเป็นอย่างไร... ...เทพเจ้าก็จะสูญเสียพลัง
และเมื่อไม่มีผู้ใดจดจำได้ว่ามีเทพเจ้าองค์นั้นอยู่ เทพเจ้าองค์นั้นก็จะหายไป
ดังนั้น หากเทพเจ้าไม่พยายามรวบรวมศรัทธา แม้แต่ตัวตนของตนเองก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้



「――ทำไมศาลเจ้าของฉันถึงมีโยวไคเยอะแยะขนาดนี้น้า」

「ก็บอกแล้วไงว่าถ้าไม่เพิ่มจำนวนมนุษย์ที่มาสักการบูชา, เทพเจ้าก็จะไม่มีแม้แต่พลังที่จะเอาไว้ใช้ขับไล่โยวไคน่ะ」

「แต่ถ้ามีโยวไคอยู่ มนุษย์ก็ไม่เข้ามาใกล้นี่นา
 แบบนั้นฉันก็ทำอะไรไม่ได้น่ะสิ」

「มันก็เป็นวงจรอุบาทว์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจริงๆนั่นล่ะนะ」


ผมคิดว่าการที่มิโกะอย่างเรย์มุไม่ยอมทำงานแล้วมาเล่นที่ร้านของผมเนี่ยก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีผู้สักการบูชาน้อยขนาดนี้ และโยวไคก็ไม่ได้เข้าใกล้ศาลเจ้ามากขนาดนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่กลายเป็นแบบนี้คือความรับผิดชอบของเรย์มุซึ่งเป็นมิโกะคนปัจจุบัน

เธอเองก็คงจะกังวลล่ะมั้ง คราวนี้ถึงได้มาขอคำปรึกษาเรื่องการกอบกู้ศรัทธากลับมา

「เอาเถอะ, ถึงศรัทธาจะลดลง แต่งานกำราบโยวไคก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี, อาจจะเหมาะกับศาลเจ้าของฉันแล้วก็ได้」

「เรย์มุ แบบนั้นมันไม่ใช่แล้วนะ
 การสูญเสียศรัทธามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของศาลเจ้านะ」

「นั่นสิน้า, แบบนั้นก็ไม่ได้เงินทำบุญเสียด้วยสิ」

「ไม่หรอก ไม่ใช่เหตุผลที่เรียบง่ายแบบนั้น
 การสูญเสียศรัทธาก็คือการสูญเสียพลังของเทพเจ้า
 ถ้าเป็นแบบนี้แล้วถูกวิญญาณร้ายยึดครองศาลเจ้าก็จะต้านทานได้ยากนะ」

「อืม--- ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะน้า... ...
 จะทำยังไงดีน้า」

「ถ้าอยากขับไล่โยวไคออกไปจากศาลเจ้าล่ะก็, นั่นสินะ, ลองใช้วิธีนี้ในฐานะมาตรการสุดท้ายดูมั้ยล่ะ」

「เอ๊ะ, จู่ๆก็เล่นมาตรการสุดท้ายเลยเหรอ
 แต่ก็ดีเหมือนกัน, ว่าแต่มันคือวิธีไหนล่ะ ?」

「นั่นก็คือการขอพึ่งพาเทพเจ้าองค์ใหม่ไงล่ะ
 ตัดใจจากเทพเจ้าองค์ปัจจุบัน แล้วรับเทพเจ้าผู้เป็นที่นิยมมายังศาลเจ้า เพื่อขอพึ่งพาศรัทธาที่ท่านมีอยู่
 เทพเจ้าของศาลเจ้าฮาคุเรย์เป็นเทพเจ้าที่แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อ แถมมีอานิสงส์เป็นอะไรก็ไม่รู้เสียด้วยสิ
 ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่จะไม่มีใครมาสักการบูชา และสูญเสีญศรัทธาไปน่ะนะ」

「เปลี่ยนเทพเจ้าที่บวงสรวงอยู่ที่ศาลเจ้างั้นเหรอ ? ทำแบบนั้นมันจะดีเหรอ ?」

「เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะไม่มีปัญหาหรอก
 เทพเจ้าญี่ปุ่นสามารถแบ่งภาคได้, ชินเรย์(วิญญาณเทพ)มีคุณลักษณะที่สามารถแบ่งภาคได้อย่างไร้ขีดจำกัดโดยที่พลังไม่ลดลง
 จึงสามารถนำเอาพลังของเทพเจ้าองค์นั้นมายังศาลเจ้าได้โดยสมบูรณ์
 การต้อนรับร่างแบ่งภาคนี้เรียกว่า คันโจว (พิธีย้ายร่างแบ่งภาคของเทพเจ้าไปยังดินแดนอื่น) ซึ่งที่โลกภายนอกเขาทำกันอยู่บ่อยๆนะ」

「เห, เทพเจ้าองค์ใหม่งั้นสินะ
 ทำแบบนั้นก็ได้เปลี่ยนอารมณ์ดีเหมือนกัน แถมน่าสนุกดีด้วย
 ถ้าทำการย้ายเทพเจ้าแห่งเหล้ามาล่ะก็, อานิสงส์ก็จะเข้าใจง่าย, ทำให้รวบรวมศรัทธาได้ง่ายขึ้น」

「ถ้าจะเลือกเทพเจ้าแห่งเหล้าล่ะก็, เอาเป็นท่านอาซามะ หรือก็คือเทพ โคโนะฮานะซาคุยะฮิเมะ สิ
 เทพเจ้าองค์นี้ปกติแล้วเป็นเทพเจ้าแห่งภูเขาก็จริง แต่ก็เป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าเช่นกัน
 แถมยังเล่ากันว่าเป็นเทพหญิงที่งดงามอย่างมาก ต้องเป็นเทพเจ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากแน่ๆ
 ส่วนชื่อศาลเจ้าก็เอาให้เข้าใจง่ายๆ เช่นเปลี่ยนเป็น ศาลเจ้าฮาคุเรย์อาซามะ」

「อืม---
 รู้สึกไม่อยากเปลี่ยนชื่อศาลเจ้าอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ... ...」

「ต่อให้เปลี่ยนเทพเจ้าที่บวงสรวง แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็ไม่มีความหมายเลยนะ
 ปกติแล้วต้องเปลี่ยนชื่อให้เข้ากันน่ะ」



――กริ๊งกริ๊ง

「ไง
 เข้าฤดูฝนแล้วแท้ๆ แต่วันนี้ไม่ยักกะมีฝนตกแฮะ
 ไหนๆก็อากาศแจ่มใสทั้งที ลองทำพิธีขอฝนกันมะ」

「พูดอะไรไม่รู้เรื่องตามเคยเลยนะ, มาริสะ」

「คุยเรื่องอะไรกันในวันฝนไม่ตกแบบนี้่ล่ะ ?」

「กำลังปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญของศาลเจ้าน่ะ」

「ปรึกษาเรื่องศาลเจ้า ? เกิดอะไรขึ้นที่ศาลเจ้าโยวไคนั่นเหรอ เรย์มุ ?」

ปัญหาก็อยู่ตรงที่ถูกเรียกว่า ศาลเจ้าโยวไค นั่นแหละ

「ผู้มาสักการบูชาน้อยเกินไปจริงๆนั่นล่ะน้า
 กล่องเงินทำบุญก็มีแต่ใบไม้ที่พวกทานุกิเอามาใส่เล่น... ...」

「อะไรกัน เรื่องนั้นเองเหรอ
 ไม่ต้องห่วงหรอกว้อย, ส่วนใหญ่ใบไม้นั่นฉันเป็นคนใส่ลงไปเองแหละ ไม่ใช่ทานุกิหรอก」



「แล้วจะไม่ให้ห่วงได้ไงล่ะนั่น, ปัญหาที่เรย์มุกำลังพูดอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่โดนทานุกิแกล้งหรอกนะ
 การที่ไม่มีใครมาสักการบูชา ก็คือการสูญเสียศรัทธาไงล่ะ」

「ไม่เห็นต้องพึ่งพาเทพเจ้าก็โค่นโยวไคได้ว้อย... ...เอ๊ะ ถ้างั้นศาลเจ้าจะมีไว้ทำอะไรล่ะ」

หากศรัทธาไม่เพียงพอแล้วเทพเจ้ากับศาลเจ้าจะเป็นยังไง, ถึงจะน่าเบื่อแต่ก็ต้องอธิบายให้มาริสะฟังอีกครั้ง

「อย่างนี้นี่เอง
 มันก็จริงที่ว่าถ้าศาลเจ้าถูกโยวไคพิลึกมายึดครองแล้วจะวุ่นวายอ่ะนะ, แต่ก็มีวิธีง่ายๆอยู่ว้อย」

「อะไรล่ะ ?」

「จัดงานเทศกาลครั้งใหญ่ไงล่ะ, อย่างเช่น มหาเทศกาลประจำปีแห่งศาลเจ้าฮาคุเรย์
 ถ้าทำแบบนั้นพวกมนุษย์ที่ชอบงานเทศกาลก็จะมารวมตัวกันใช่มั้ยล่ะ ? ถ้ายังไม่พออีกก็จัดงานทุกสัปดาห์เลยก็ได้
 สิ่งที่ศาลเจ้าฮาคุเรย์มีไม่เพียงพอก็คือเสน่ห์ดึงดูดผู้คนไงล่ะ
 เอาแต่จัดงานเลี้ยงทุกวันแล้วมนุษย์ที่ไหนจะมาสักการบูชาล่ะ ?」

สิ่งที่มาริสะพูดก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง
มนุษย์จะสักการบูชาเฉพาะเทพเจ้าที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น
ยิ่งการดำรงชีวิตของมนุษย์มีความสมบูรณ์มากขึ้นเท่าใด เทพเจ้าก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้น อีเวนท์สำหรับมนุษย์อย่างเช่นงานเทศกาลก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีก็เป็นได้

「ต่อให้จัดงานมหาเทศกาลไป ก็มีแต่โยวไคเต็มไปหมดอยู่ดีนั่นแหละ
 ถ้ามีโยวไคอยู่ มนุษย์ก็ไม่มาใช่มั้ยล่ะ ?」

「มันก็จริงอ่ะนะ, เพราะว่ามีแต่โยวไคที่ชอบงานเทศกาลทั้งนั้นเลยน้า」

「ก็เพราะอย่างนั้นแหละนะ ตอนนี้เลยคิดถึงเรื่องการย้ายเทพเจ้าองค์ใหม่มาที่นี่น่ะ」

「หา ? ย้ายเทพเจ้า ? อะไรวะนั่น」

ผมเลยต้องอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไปบวงสรวงเทพเจ้าองค์ใหม่ซึ่งเรียกว่าพิธีคันโจวให้มาริสะฟัง

「งั้นถ้าย้ายเทพเจ้าแล้ว, เทพเจ้าองค์ปัจจุบันที่อยู่ในศาลเจ้าจะเป็นยังไงล่ะ ?」

「ช่วงแรกก็จะถูกบวงสรวงร่วมกันน่ะ」

「ช่วงแรกงั้นเหรอ, หมายความว่ายังไงอ่ะ」

「หากถูกหลงลืมเมื่อไร ก็จะหายไปเองตามธรรมชาติน่ะ」

「ว่าไงนะ ? หายไปงั้นเหรอ ?」



――ข้างนอกหน้าต่างที่ดูแล้วคล้ายฤดูร้อนมาจนถึงเมื่อครู่ เริ่มมืดลงนิดหน่อยแล้ว
ยังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงตอนเย็น อย่างนี้ต้องมีฝนตกแน่
ได้เวลาแสดงออกถึงลักษณะเด่นของฤดูฝนแล้วสินะ

「เทพเจ้าของศาลเจ้าจะหายไปงั้นเหรอ ?
 บ.. แบบนั้นมันเกินไปหน่อยนะ... ...เรย์มุคิดว่าแบบนั้นมันดีแล้วเหรอ ?」

「ถ้าไม่ทำแบบนั้น ตัวศาลเจ้าเองก็อาจจะหายไปเลยก็ได้นะ ยังไงก็ต้องลงมือล่ะ」

「ว่าแต่ว่า, เทพเจ้าแห่งศาลเจ้าฮาคุเรย์เนี่ยคือใครเหรอ ? วิญญาณร้าย... ...ก็ไม่น่าจะใช่นะ」

「แทบไม่มีบันทึกอะไรเหลืออยู่เลยน่ะ
 ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเคยถูกวิญญาณร้ายสิงสถิตก็เถอะ... ...」

เทพเจ้าที่แม้แต่มิโกะของศาลเจ้าก็ยังไม่รู้จัก, ไม่แปลกเลยที่จะสูญเสียศรัทธาไป

แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
เพราะว่ามีเทพเจ้าอยู่ทั่วไปในธรรมชาติของเกนโซวเคียว
ถ้าอยากจะขอพรจากเทพเจ้าก็สามารถทำได้ทุกที่, ดังนั้นสถานที่พิเศษอย่างศาลเจ้าจึงไม่มีความจำเป็น

ว่ากันว่าศาลเจ้าในเกนโซวเคียวมีเพียงศาลเจ้าฮาคุเรย์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
กล่าวคือ ศาลเจ้าเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก ส่วนใหญ่จึงมักจะเรียกศาลเจ้าฮาคุเรย์เพียงง่ายๆว่า ศาลเจ้า เท่านั้น
ศาลเจ้าที่จะเอาไว้ใช้เปรียบเทียบกันก็ไม่มี จึงทำให้ผู้คนมักจะหลงลืมการสักการบูชาเทพเจ้าที่ศาลเจ้าอยู่เรื่อย

และก็เป็นไปตามที่คาดไว้, มนุษย์ชาวเกนโซวเคียวมองไม่เห็นคุณค่าของศาลเจ้าเสียแล้ว

「เอาเถอะ ทั้งสองคน, เรื่องของศาลเจ้าหลังจากนี้ทำได้แค่ยกให้เรย์มุเป็นคนจัดการแล้วล่ะ
 แต่จะบอกไว้อย่างหนึ่งว่า ศาลเจ้าฮาคุเรย์มีหน้าที่สำคัญคือการเป็นอาณาเขตของเกนโซวเคียว
 ไม่ว่าเทพเจ้าจะเป็นใคร ก็มีเพียงเรื่องนั้นเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง」

「แต่การที่ไม่รู้ว่าอานิสงส์ของเทพเจ้าคืออะไรนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่นะ」

「มีอานิสงส์ด้วยเหรอ ? ใส่เงินทำบุญลงไปก็ไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยว่ะ」

「เธอใส่แต่ใบไม้แล้วจะได้รับอานิสงส์ได้ยังไงล่ะ
 แต่ฉันเองก็คิดว่าการบวงสรวงเทพเจ้าที่มีอานิสงส์อะไรสักอย่างนั้นน่าจะดีกว่า
 ไม่พ้นคงต้องเลือกเทพ โคโนะฮานะซาคุยะฮิเมะ ซึ่งเป็นเทพแห่งเหล้าแล้วล่ะมั้ง」

ต่อให้มีอานิสงส์เกี่ยวกับเหล้า ก็มีแต่คนที่ทำเหล้าเท่านั้นที่ยินดี
ซึ่งผมคิดว่าคนที่ทำเหล้าไม่น่าจะมีจำนวนมากนัก

「อาจจะสงสัยแบบเรียบง่ายไปหน่อยนะ, แต่ทำไมเทพเจ้าถึงให้อานิสงส์เมื่อได้รับการบวงสรวงล่ะ ?
 อย่างนี้เทพเจ้าก็แทบไม่ต่างอะไรจากพวกโยวไคแถวนี้เลยน่ะสิ ?」



――ทั้งร้านมืดลงแล้ว
ฝนเริ่มตกอย่างจริงจังแล้ว
มาริสะกังวลเรื่องสภาพอากาศที่ด้านนอกหน้าต่างจนกระวนกระวาย ส่วนเรย์มุกำลังคิดถึงข้อสงสัยของตนอย่างบริสุทธิ์ใจ

「เธอเป็นมิโกะแท้ๆแต่ขาดการเรียนรู้มากเกินไปแล้วนะ แถมยังชอบพูดว่าเกลียดการฝึกวิชาเลยไม่ทำอีกต่างหาก
 ถ้าไม่เลิกเอาแต่ดื่มเหล้าแล้วหันมาศึกษากับฝึกวิชาให้มากกว่านี้ ศาลเจ้าก็ไม่พ้นวิกฤติหรอกนะ」

「ก็เลยมาถามเพื่อศึกษาเรียนรู้ไง ?」

「เอาเถอะ
 จะสอนให้เพราะเป็นช่วงนี้หรอกนะ, ถามว่าทำไมบวงสรวงชินเรย์แล้วถึงได้รับอานิสงส์สินะ」

「ค่า ค่า」

「ถึงจะเล่ากันว่าสรรพสิ่งล้วนมีชินเรย์สิงสถิตอยู่ แต่ถ้าให้พูดแบบละเอียดแล้ว วิธีการเล่าแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง
 ไม่ใช่ว่าสิงสถิตในสรรพสิ่ง, แต่วัตถุที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อนั่นแหละคือชินเรย์
 ในขณะที่ชินเรย์คือวัตถุที่ยังไม่มีชื่อ, การตั้งชื่อให้วัตถุนั้นก็คือการขอยืมพลังส่วนหนึ่งของชินเรย์」

「จะว่าไปแล้ว, รู้สึกเหมือนเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนนะ」

「ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงล่ะมั้ง, ใช่ตอนที่เล่าเรื่องหินกระดูกรึเปล่า ?
 แต่ยังจำได้ก็ดีแล้วล่ะ, ทีนี้ชินเรย์เนี่ยจะต่างจากโยวไคตรงที่พวกเขามีสองบุคลิกเสมอ」

「พวกโยวไคส่วนใหญ่จะมีความคิดเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และมีแค่บุคลิกเดียว ก็เลยต่างกันเป็นสองเท่าเลยสินะ」



「บุคลิกทั้งสองนั้นเรียกว่า สงบ กับ คลั่ง
 บุคลิกสงบจะอ่อนโยนต่อมนุษย์ ซึ่งปกติแล้วบุคลิกพวกนี้แหละคือสิ่งที่ถูกเรียกขานว่า อานิสงส์」

「เอ๋ ? บุคลิกคืออานิสงส์ ?」

「ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าชินเรย์คือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ?
 บุคลิกของชินเรย์ก็คือบุคลิกของวัตถุนั่นเอง
 ดังนั้นความรู้สึกและพลังของชินเรย์จึงปรากฏออกมาทางสสาร
 หากเทพเจ้ามีพลัง เหล้าก็จะมีรสเลิศขึ้นมาได้เอง
 นอกจากนี้ บุคลิกสงบยังแบ่งได้อีกสองแบบ คือ สุข และ วิเศษ
 บุคลิกสุข จะเติมเต็มจิดใจของผู้คน ส่วนบุคลิกวิเศษจะมอบความรู้ให้แก่ผู้คน
 ยกตัวอย่างเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าอีกทีละกัน,
 บุคลิกสุขจะทำให้เหล้ามีรสชาติดีและมีกลิ่นหอม ส่วนบุคลิกวิเศษจะมอบวิทยาการสำหรับทำเหล้าชนิดใหม่ ประมาณนั้นล่ะ」

「สงบ สุข วิเศษ... ...ไม่ว่าแบบไหนก็มีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้นเลยนะ
 อย่างนี้คงต้องเตรียมเชิญเทพโคโนะฮานะซาคุยะฮิเมะอย่างจริงจังซะแล้ว」

「นี่ เทพเจ้าองค์อื่นนอกจากโคโนะฮานะซาคุยะฮิเมะ ต่างก็มีบุคลิกที่กล่าวได้ว่าเป็นอานิสงส์นะ
 แต่อย่าลืมล่ะว่าชินเรย์ยังมีบุคลิกอีกแบบหนึ่งอยู่ นั่นคือก็ คลั่ง (อาระ)」

「ตายจริง (อาระอาระ)」 (เอามาเล่นคำซะงั้น)

「บุคลิกคลั่งก็คือความพิโรธของเทพเจ้า ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปของการสาปแช่งไงล่ะ
 หากเทพเจ้าแห่งเหล้าแสดงบุคลิกคลั่งออกมา เหล้าก็จะไม่อร่อย หรืออาจกลายเป็นยาพิษไปเลยก็ได้
 และอาจทำให้ไม่สามารถทำเหล้าขึ้นในสถานที่นั้นได้อีกเลยก็เป็นได้」

「แบบนั้นก็ไม่ดีน้า
 แสดงว่าต้องไม่ทำให้เทพเจ้าโกรธสินะ
 แล้ว, เทพเจ้าต้องมีสองบุคลิกอย่างนี้เสมอเลยเหรอ ?」

「ระดับอาจจะแตกต่างกันไป แต่ก็ต้องมีล่ะ」

「ไม่มีเทพเจ้าที่มีแต่บุคลิกด้านดีบ้างเลยรึไงน้อ」

「ชินเรย์, หรือก็คือสรรพสิ่งที่มีอยู่ในเกนโซวเคียวน่ะ ล้วนมีทั้งด้านดีและด้านเลว
 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคลิกคลั่งเป็นสิ่งชั่วร้ายหรอกนะ」

「ทำให้เหล้าไม่อร่อยก็ต้องชั่วร้ายสิ ?」

「ผิดแล้ว
 บุคลิกคลั่งนี่แหละคือพลังที่แท้จริงของเทพเจ้า
 การบวงสรวงบุคลิกคลั่ง เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองมนุษย์จากด้านเลว
 หรือก็คือการปกป้องเหล้าจากศัตรูภายนอกที่มาขัดขวางการทำเหล้านั่นเอง
 โดยสรุปแล้ว อานิสงส์ก็คือ การเพิ่มพูนพลังของเทพเจ้าโดยการสยบบุคลิกคลั่งและซาบซึ้งในบุคลิกสงบไงล่ะ」

「หืม---
 เคยนึกว่าเป็นเพราะทุกคนบนบานศาลกล่าว เทพเจ้าก็เลยออกตระเวนทำให้พรของแต่ละคนเป็นจริงเสียอีก... ...แต่ท่าทางจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ
 การเพิ่มพูนพลังของเทพเจ้าเกี่ยวข้องกับอานิสงส์จริงๆเหรอเนี่ย」

「หากทำให้เทพเจ้ายินดี ก็จะเกิดอานิสงส์แก่มนุษย์
 ตรงนั้นแหละที่ต่างจากโยวไค เพราะมนุษย์จะยินดีเมื่อพวกโยวไคถูกกำราบ」

「แบบนั้นก็... ...เหมาะกับศาลเจ้าดีเหมือนกันนะ」



ข้างนอกมืดสนิทผิดจากตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
ฝนกำลังตกให้สมกับที่เป็นฤดูฝนแล้ว, เรย์มุและมาริสะจึงต้องอยู่ทานมื้อเย็นที่นี่

ถึงจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แต่เพราะตอนกลางวันคุยกันแต่เรื่องเหล้า วันนี้ก็เลยดื่มเหล้ากันไปหลายชนิดเลย

「อืม---
 เหล้านี่ก็เป็นอานิสงส์ของท่านอาซามะสิน้า」

「แสดงว่าเหล้านี่ก็เป็นอานิสงส์ของท่านอาซามะเหมือนกันว่ะ !」

「ทั้งสองคนดื่มมากเกินไปแล้วนะ」

「เอ้า ดื่มให้กับท่านอาซามะ~」

อันที่จริงการรับฟังคำขอจากมนุษย์นั้นไม่ใช่หน้าที่ของศาลเจ้าหรืออะไรทั้งนั้น
แต่แค่รับฟังคำขอก็ถือว่าได้รวบรวมศรัทธาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่สะดวกต่อเทพเจ้าอย่างมาก มันก็เท่านั้นเอง
ดังนั้นต่อให้มนุษย์ไปที่ศาลเจ้าแล้วทำบุญเพียงน้อยนิดจากนั้นก็ขอพรตามอำเภอใจ ก็ไม่เป็นไร
เพราะว่าชินเรย์ก็เป็นแค่โยวไคชนิดหนึ่งที่สนุกสนานไปกับเกนโซวเคียวอย่างสบายใจเท่านั้นเอง





สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- รูปประกอบภาพที่สองและสาม ในฉบับรายเดือนจะใช้ภาพเก่าจากตอนก่อนๆ แต่ในฉบับรวมเล่มได้มีการวาดแก้ไขแล้ว
- เทพประจำศาลเจ้าฮาคุเรย์เป็นเทพที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แม้แต่เรย์มุ แม้แต่รินโนะสุเกะ ก็ยังไม่รู้จัก
- เรื่องราวในตอนนี้เกิดขึ้นก่อนตัวเกมภาค 10 สองเดือน ซึ่งในภาค 10 นี้มีศาลเจ้าโมริยะโผล่มาพร้อมกับเทพเจ้าองค์ใหม่อีกสององค์
- โคโนะฮานะซาคุยะฮิเมะ ตอนแรกเชื่อกันว่าเป็นต้นแบบของตัวละคร อิซาโยอิ ซาคุยะ แต่ปรากฏว่าเธอมีบทบาทจริงในภาคอื่น ประเด็นนี้จึงตกไป
- มหาเทศกาลประจำปีแห่งศาลเจ้าฮาคุเรย์ (ฮาคุเรย์จินจาเรย์ไทไซ) หมายถึงงานอีเวนท์โทโฮ ซึ่งเริ่มจัดครั้งแรกในปี 2004 และยังจัดต่อเนื่องเรื่อยมา
- จากที่เนื้อหาบอกว่าศาลเจ้าฮาคุเรย์เคยถูกวิญญาณร้ายสิงสถิตมาก่อน ทำให้แฟนโทโฮหลายคนเก็งกันว่านั่นคือ มิมะ ตัวละครในยุคเก่าที่ถูกลบเนื้อหาไป
   เพราะว่าตัวละครที่เคยถูกระบุว่าเป็น วิญญาณร้าย มีเพียงแค่มิมะเท่านั้น แฟนโทโฮจึงคาดหวังอย่างมากว่าเธอจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง
- ถ้าว่ากันในแง่ของคำนิยามของคำว่า โยวไค ซึ่งหมายถึง ตัวตนที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดา ก็คงนับได้ว่าชินเรย์เป็นโยวไคชนิดหนึ่ง



.........................................................................................................................................................................................

กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้