東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย
.........................................................................................................................................................................................
ตอนที่ 19
「กล้องถ่ายรูปของมังกร」
เสียงร้องของนกฮารุทสึเกะดังก้องอยู่ภายในร้าน (ชื่อนกแปลว่า แจ้งการมาของฤดูใบไม้ผลิ)
ฤดูหนาวอันยาวนานสิ้นสุดลง, สีสันต่างๆกลับคืนสู่เกนโซวเคียว
เกนโซวเคียวที่ถูกย้อมขาวด้วยหิมะหนาเตอะ, เริ่มมีทิวทัศน์อันสดใสร่วมกับการมาของฤดูใบไม้ผลิ,
เหล่ามนุษย์และโยวเซย์ผู้สดใสเองก็เริ่มส่งเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นในเวลาเดียวกัน
รู้สึกเหมือนโลกที่ตกตะกอนนอนก้นกลับมีท้องฟ้าปลอดโปร่งขึ้นมาจนทัศนวิสัยแจ่มชัดอย่างกะทันหัน
เพราะเหตุนี้จึงมีวันเซย์เมย์ (เช็งเม้ง) (วันที่ 5 เมษายน) ในช่วงเวลานี้ที่ให้ความรู้สึกสดใหม่แจ่มใสมาตั้งแต่โบราณ
ว่าแต่วันเซย์เมย์ของปีนี้มันผ่านไปกี่วันแล้วนะ
ผมกำลังเขียนบันทึกประจำวันอยู่ก็จริง แต่จู่ๆก็นึกอยากเสริมเรื่องความงดงามของฤดูกาลนี้ลงไปในกระดาษด้วย
จะให้วาดลงไปในกระดาษเลยก็ได้ แต่ในเกนโซวเคียวมีสิ่งที่เหมาะกับงานนี้ยิ่งกว่า
นั่นก็คือ การถ่ายภาพ
「――มัวทำอะไรอยู่น่ะ ? อากาศดีขนาดนี้ดันมารื้อข้าวของเนี่ยนะ」
แว่วเสียงมาจากใกล้ๆทางเข้าของร้าน
ผมทอดสายตามองภายในร้านอีกครั้ง, พบว่าสินค้าในร้านกระจัดกระจายคล้ายกับโดนขโมยขึ้นบ้านก็มิปาน
ผมกำลังค้นหาอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เก็บรักษาเอาไว้ในร้าน แม้ว่าจะไม่รู้วิธีใช้มัน
「อ้อ มาริสะน่ะเอง
มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ
ตอนนี้ข้าวของเรี่ยราดไปหน่อย แต่อย่าไปจับของตรงแถวนั้นล่ะ
เพราะว่ามันเป็นของขาย」
「ถึงจะบอกว่าห้ามจับก็เถอะ, แต่ถ้าไม่จับก็เดินไม่สะดวกนะว้อย」
「... ...อา, เจอสักที
ผมกำลังหาเจ้านี่อยู่น่ะ」
「อื๋อ ? นั่นมันของที่พวกเทนกุชอบใช้กันนี่นา」
อุปกรณ์ที่ผมค้นหาอยู่ก็คือ 『กล้องถ่ายรูป』
กล้องถ่ายรูป เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้ถ่ายรูป สมดังชื่อของมัน
ผมมีความสามารถที่เพียงแค่มองอุปกรณ์ก็รู้ชื่อและประโยชน์ของมันได้
ที่เปิดร้านโควรินโดวก็เพื่อจะใช้ประโยชน์จากความสามารถนี้
แม้จะน่าเสียดายที่ผมไม่ทราบวิธีใช้ที่แน่ชัด
「ผมตั้งใจว่าจะแปะรูปถ่ายลงไปในบันทึกประจำวันด้วยน่ะ
เพียงแต่, ผมได้กล้องถ่ายรูปนี้มานานแล้วก็จริง แต่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าต้องทำยังไงถึงจะถ่ายรูปได้ ก็เลยวางทิ้งไว้อย่างนั้น」
「ดูเหมือนพวกเทนกุจะถ่ายกันได้ง่ายๆเลยนี่นา ?
รู้สึกว่าจะตั้งท่าแบบนี้... ...แล้วก็มอง จากนั้นก็กดปุ่ม
อีกอย่าง, ฉันไม่เคยเห็นภาพถ่ายโผล่ออกมาจากเครื่องจักรพรรค์นี้เลย, ไม่รู้ว่ามีโครงสร้างยังไงกันแน่แฮะ」
「คงจะหมายถึงปุ่มนี้แน่ๆ แต่เคยกดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยนะ」
พูดจบก็ลองกดดูอีกครั้ง แต่ก็เงียบสนิท ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
หากความสามารถของผมไม่ผิดพลาดล่ะก็, กล้องถ่ายรูปเครื่องนี้จะต้องถ่ายรูปได้แน่ๆ
「ฉันเคยหลงคิดว่าการถ่ายภาพเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกเทนกุเท่านั้น
ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่ถ่ายภาพจริงๆคืออุปกรณ์แบบนี้」
เทนกุเป็นเผ่าพันธุ์ลึกลับที่มีความลับเยอะมาก
และการที่พวกเทนกุอาศัยอยู่ในภูเขาซึ่งมนุษย์และโยวไคอื่นๆมิอาจย่างกรายเข้าไปได้,
ทำให้เทนกุมีสังคมที่เป็นเอกลักษณ์และมีวิทยาการอันล้ำเลิศ
หากได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่พวกเทนกุแจกจ่ายก็จะพบว่าวิทยาการล้างรูปนั้นเป็นปริศนาอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือวิทยาการตีพิมพ์
เพราะว่าวิทยาการที่ใช้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์จำนวนมหาศาลราวกับมาจากโลกภายนอกนี้ มีเพียงเทนกุเท่านั้นที่ครอบครองอยู่
จะว่าไปแล้ว พวกกัปปะเองก็อาศัยอยู่ที่ภูเขา และว่ากันว่ามีวิทยาการค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับเทนกุ
วิทยาการของกัปปะคือวิทยาการที่ใช้สร้างอุปกรณ์ที่มีความละเอียดสูง
บางทีกล้องถ่ายรูปที่เทนกุใช้อาจถูกสร้างขึ้นโดยกัปปะก็เป็นได้
อุปกรณ์ที่กัปปะสร้างขึ้นมีแต่ของแปลกประหลาด, ตัวผมในฐานะร้านอุปกรณ์จึงสนใจเป็นอย่างมาก
เกี่ยวกับอุปกรณ์ของกัปปะนั้นเอาไว้ว่ากันวันหลัง, ตอนนี้เอาเวลามาคิดเรื่องกล้องถ่ายรูปก่อนดีกว่า
「อืม---, ไม่ได้ผลจริงๆด้วยแฮะ
แต่แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าภาพถ่ายมันออกมาจากตรงไหนของกล้องถ่ายรูปพรรค์นี้ซะด้วย」
「ว่าแต่, ทำไมจู่ๆถึงอยากถ่ายภาพขึ้นมาล่ะ ? โควรินคิดจะเริ่มทำหนังสือพิมพ์เลียนแบบพวกเทนกุเหรอ ?」
「หนังสือพิมพ์งั้นเหรอ... ...」
การเขียนหนังสือพิมพ์ก็น่าสนใจ
หากสามารถเขียนบทความให้ผู้อื่นอ่านได้, ผมก็สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆที่มีอยู่ในสังคมได้
แต่ทว่า, เรื่องนั้นมันมีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง
คือต่อให้ตรวจสอบกล้องถ่ายรูปจนสามารถถ่ายภาพได้แล้ว ผมก็ไม่มีวิธีจัดการเรื่องการพิมพ์อักษรและการตีพิมพ์อยู่ดี
「ไม่หรอก, หนังสือพิมพ์ไม่ใช่ของที่จะเริ่มทำขึ้นมาได้ง่ายขนาดนั้น
สาเหตุที่อยากถ่ายรูปก็คือ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วข้างนอกวิวสวยมาก ก็เลยอยากเก็บมันไว้กับตัว แค่นั้นแหละ」
「ถ้าแค่นั้น, เดี๋ยวปีหน้าก็ได้เห็นอีกครั้งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ」
「ไม่อยากให้เข้าใจผิดหรอกนะ แต่ที่อยากถ่ายรูปเนี่ย ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ดู และไม่ใช่เพราะอยากดูอยู่ตลอดเวลา
ผมอยากเห็นทิวทัศน์ธรรมดาจากหลายมุมมองต่างหาก」
หากถ่ายรูปได้, ก็สามารถใช้ภาพที่ถ่ายเป็นประจำมาตั้งสมมติฐานได้
เช่นนั้นแล้ว, ก็สามารถเห็นทิวทัศน์ที่มองดูเป็นประจำในมุมที่แตกต่างออกไปได้อย่างมาก
การมองวัตถุโดยเปลี่ยนมุมมองนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจขาดไปได้สำหรับชีวิตของร้านขายอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม
「ถ้าอย่างนั้นแค่ดื่มเหล้าก็พอแล้วล่ะ
แบบนั้นก็สามารถมองเห็นความต่างจากทิวทัศน์เดิมได้นา
แต่ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่ะ ว่ามันมีโครงสร้างยังไงถึงได้ถ่ายภาพออกมาได้」
「เรื่องนั้นไม่ได้แปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรหรอก
แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนสิ่งที่เห็นให้กลายเป็นภาพถ่ายมันเป็นเรื่องง่ายๆน่ะ」
「งั้นเหรอ ?
แต่ถ้าถ่ายภาพทิวทัศน์ในความเป็นจริงออกมา, ทิวทัศน์ก็จะถูกแบ่งเป็นสองไม่ใช่เหรอ
ถ้าสร้างภาพถ่ายที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้ล่ะก็, คงแยกความแตกต่างกับทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปไม่ได้เลยล่ะมั้ง ?
แต่ว่า, ภูเขาที่อยู่ไกลออกไปมีเพียงหนึ่งเดียวนี่นา
ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรจะลดลงเพื่อให้รูปภาพเพิ่มจำนวนมากขึ้นล่ะ ?」
(จากบทพูดนี้แสดงว่ามาริสะมีความเชื่อแบบคนญี่ปุ่นโบราณที่ว่า หากถูกถ่ายภาพ จะถูกดูดวิญญาณไปเก็บไว้ในภาพ)
「ไม่ได้หมายความว่าทิวทัศน์จะลดลง แต่มันก็มีของที่ลดลงอยู่นะ
ยกตัวอย่างเช่น หากเอากระจกไปวางหันหน้าเข้าหาภูเขา แล้วเราไปยืนคั่นตรงกลาง จะเห็นอะไรในกระจกล่ะ ?」
「ก็ต้องเห็นตัวเองไง」
「ไม่ใช่สิ, ตัวเราเองน่ะช่างเถอะ ให้มองที่ภูเขาซึ่งสะท้อนอยู่ด้านหลังน่ะ... ...
ตรงนั้นมันสะท้อนให้เห็นทิวทัศน์ที่คล้ายกับภาพถ่ายใช่มั้ยล่ะ
กล่าวคือ ทิวทัศน์เป็นสิ่งที่ต่อให้นัยน์ตาของสิ่งมีชีวิตมองไม่เห็น ก็ยังคงสะท้อนอยู่ในกระจก
ที่เหลือก็แค่บันทึกชั่วพริบตาที่ถูกสะท้อนนั่นเอาไว้ให้ได้ก็พอ
กล้องถ่ายรูปมีความสามารถในการบันทึกชั่วพริบตานั้นเอาไว้น่ะ
ทิวทัศน์ในความเป็นจริงจึงมิได้ลดลงหรือถูกแบ่งเป็นสอง แต่ชั่วพริบตาที่สะท้อนในกระจกต่างหากที่ถูกตัดออกและลดลง」
「หืม--- เข้าใจยากนิดหน่อยแฮะ... ...แต่ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง เพราะยังไงก็มีภาพถ่ายให้เห็นอยู่จริงๆ
ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่าสามารถถ่ายได้แต่ภาพแบนๆสินะ เพราะว่ากระจกมันแบนนี่นา」
「ไม่หรอก ผมคิดว่าถ้าดัดแปลงสักนิดหน่อยก็น่าจะถ่ายรูปแบบมีมิติได้นะ」
ผมทอดสายตามองภายในร้านอีกครั้ง, พบว่ามันกระจัดกระจายจริงๆนั่นล่ะ
แต่เพื่อแสดงความเป็นไปได้ในการถ่ายภาพแบบมีมิติให้มาริสะดู จึงต้องหาอุปกรณ์อย่างหนึ่ง, ว่าแล้วก็รื้ออีกรอบ
「เจอแล้ว เจอแล้ว
เจ้านี่ล่ะ, อุปกรณ์ชิ้นนี้ล่ะ」
สิ่งที่ค้นพบ คือกล่องขนาดเล็กที่มีลายเย็บปักรูปมังกร
ภายในบรรจุแก้วรูปแท่งสามเหลี่ยมที่มีขนาดเล็กประมาณหัวแม่โป้ง
ผมนำแก้วนั้นออกมาให้มาริสะดู
「ลองดูเจ้านี่สิ」
「อะไรน่ะ ? แก้วนี่」
「แท่งแก้วนี้คืออุปกรณ์ที่เรียกว่า กระจกสามเหลี่ยม หรืออีกชื่อคือ Prism
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ย้อมสีสายลมน่ะ」
「ย้อมสีสายลมงั้นเหรอ ? เริ่มพูดเรื่องแปลกๆอีกแล้วนะเนี่ย」
ผมนำกระจกสามเหลี่ยมไปวางไว้ใกล้หน้าต่างเพื่อให้โดนแสงอาทิตย์
จากนั้นกระจกสามเหลี่ยมได้ดูดซับแสงอาทิตย์, แล้วย้อมลำแสงให้เป็นเจ็ดสี
「โอ้ เห็นรุ้งขนาดเล็กด้วย」
「แค่กระจกสามเหลี่ยมขนาดเล็กนี้ก็สามารถย้อมสายลมให้เป็นเจ็ดสีได้แล้ว
สาเหตุที่กระจกสามเหลี่ยมสามารถก่อให้เกิดรุ้งเจ็ดสีได้นั้น,
เป็นเพราะความเกี่ยวข้องระหว่างสิ่งสมบูรณ์ทั้งสามกับสิ่งไม่สมบูรณ์ทั้งเจ็ด... ...」
「เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมันเหอะน่า
แล้ว, จะเอาเจ้านี่มาใช้ยังไงให้ถ่ายภาพแบบมีมิติได้ล่ะ ?」
「... ...ใช้กระจกสามเหลี่ยมจำนวนสามอัน สร้างสีสันจากสามทิศทางพร้อมกันก็น่าจะวาดภาพแบบมีมิติได้นะ
จากนั้นก็, แค่สร้างอุปกรณ์ที่สามารถบันทึกสายลมในจังหวะนั้นได้ขึ้นมาก็พอ
อุปกรณ์ที่ทำให้สายลมสงบน่ะ」
(จริงๆแล้วสิ่งที่ถูกบันทึกลงแผ่นฟิล์มคือ แสง แต่ดูเหมือนรินโนะสุเกะจะเข้าใจว่าเป็น สายลม)
「เดี๋ยวสิ, ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติก็เหอะ แต่เล่าไม่ปะติดปะต่อกันเกินไปแล้วว้อย
ทำไมถึงวาดภาพแบบมีมิติได้เมื่อสร้างสีสันจากสามทิศทางล่ะ」
มาริสะหยิบกระจกสามเหลี่ยมไปจากผม แล้วจ้องมองจากหลายๆทิศทาง
「ผสมแดงเขียวได้สีเหลือง, ผสมแดงฟ้าได้สีม่วง
ถ้าผสมสีอื่นๆเข้าไปก็น่าจะได้สีต่างๆออกมา
ดังนั้นถ้าทำให้รุ้งตัดกันได้อย่างชำนาญก็คงจะสร้างสีขึ้นมาได้ตามใจชอบ
และแค่มีความ กว้าง ยาว ลึก ก็เพียงพอต่อการย้อมสีให้มีมิติแล้ว
ดังนั้นหากรุ้งกระทบจากสามทิศทางเป็นอย่างน้อย ก็น่าจะสามารถแสดงจุดทั้งหมดที่กลางอากาศได้」 (โฮโลแกรม ?)
「ไม่ค่อยเข้าใจอย่างบอกไม่ถูกแฮะ, แต่จะวาดรูปบนสายลมงั้นเหรอ, ถ้ามีอุปกรณ์แบบนั้นก็น่าสนุกดีนะ
แต่สำหรับคนที่แค่ถ่ายภาพแบนๆยังทำไม่ได้เนี่ย มันเป็นความฝันที่ยิ่งกว่าความฝันอีกนะ」
อ่า ก็ถูกต้องตามนั้น
ต่อให้เข้าใจทฤษฎี แต่ถ้าวิทยาการก้าวตามไม่ทัน ก็ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้อยู่ดี
หากยังไม่สามารถวาดภาพกลางอากาศได้ ก็คงไม่อาจสร้างอุปกรณ์ที่ทำให้สายลมสงบได้
แต่ว่า หากไม่คิดถึงสิ่งใหม่อยู่เสมอ, วิทยาการที่ล้ำหน้าที่สุดของเกนโซวเคียวก็คงจะตกเป็นของพวกเทนกุและกัปปะไปจนหมดสิ้น
ดังนั้นผมจึงพยายามคิดถึงสิ่งใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่ในฐานะร้านขายอุปกรณ์ แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลของผมเองด้วย
―――กริ๊งกริ๊ง
「อ๊ะ, เจอแล้ว เจอแล้ว
ใกล้ได้เวลาชมดอกไม้แล้วนะ ?」
「อ๊ะ, เรย์มุเองเหรอ
เก่งนะที่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่」
「สถานที่ที่เป็นตัวเลือกของมาริสะก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วนี่นา
ว่าแต่ข้าวของกระจัดกระจายน่าดูเลยนะ
โดนขโมยขึ้นบ้านเหรอ... ...ไม่สิ กำลังโดนขโมยขึ้นบ้านอยู่สินะ」
ขโมยที่ว่าคงจะหมายถึงมาริสะล่ะสิ
เจ้าตัวก็หัวเราะเบาๆโดยไม่มีท่าทีปฏิเสธคำกล่าวนั้นซะด้วย
คิดจะขโมยกระจกสามเหลี่ยมของผมอยู่รึเปล่านะ ?
「ตายจริง, มีรุ้งขนาดเล็กออกมาด้วย
นั่นคืออะไรเหรอ ?」
เรย์มุเข้ามาถึงก็เดินดูของในร้านที่กระจัดกระจาย และสะดุดตากับกระจกสามเหลี่ยมที่มาริสะกำลังเล่นอยู่
「ไอ้นี่เรียกว่ากระจกสามเหลี่ยมน่ะ, ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ย้อมสีสายลม
แต่กินไม่ได้นะว้อย」
เรย์มุพูดว่า 「เพราะว่ามันแข็งสินะ」 พลางมองมาริสะที่จับกระจกเอียงให้รุ้งไปตกลงที่พื้นบ้าง ตกลงที่หน้าของผมบ้าง
「คุณรินโนะสุเกะ, เจ้านี่มีโครงสร้างยังไงเหรอ ? มองแล้วรู้สึกว่า, ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลยนะ... ...」
ทั้งเรย์มุและมาริสะต่างก็ถามเรื่องที่สงสัยออกมาโดยไม่พยายามคิดด้วยตนเองเลย
ก่อนอื่นต้องพิจารณาด้วยตนเองอย่างรอบคอบ จากนั้นก็แสดงความคิดเห็นของตัวเอง แล้วค่อยถามผู้อื่น
นั่นคือสิ่งที่ผมหวังอยากให้เป็นที่สุด... ...แต่พวกเธอยังเด็กอยู่ก็เลยไม่ว่าอะไร
ที่สำคัญ, เป็นแบบนี้ยังดีกว่าไม่คิดจะสงสัยอะไรเลย
「กระจกสามเหลี่ยมไม่ได้มีอะไรอยู่ข้างในหรอก
สิ่งสำคัญคือรูปร่างสามเหลี่ยมแบบนี้น่ะ」
ตัวเลขสาม มีความหมายถึงความสมบูรณ์และความกลมกลืน
ต่อให้เป็นพื้นผิวที่ไม่เรียบก็สามารถยืนได้อย่างมั่นคงด้วยสามขา แต่ถ้าเพิ่มขาให้มีสี่ขึ้นไปก็จะเริ่มโยกเยกสั่นคลอน
หากจับกลุ่มสามตัวเช่น งู กบ ทาก ก็จะข่มกันเองจนไม่เกิดการวิวาทขึ้น แต่ถ้าเหลือสองหรือมีสี่ขึ้นไปก็คงจะทะเลาะกันทันที
(คนญี่ปุ่นเชื่อว่า งูกินกบ กบกินทาก และทากกินงู)
「สามคนเสวนาปัญญาเกิด (สำนวนญี่ปุ่น)
สามกลองประสาน (การเล่นกลองเล็กแบบสามจังหวะผสานของญี่ปุ่น)
ไตรเทวภัณฑ์ (สมบัติชาติของญี่ปุ่นอันเป็นเครื่องแสดงความเป็นพระจักรพรรดิ)
ครองหล้าสามวัน (นัยถึง อาเคจิ มัตสึฮิเดะ ซึ่งทรยศผู้เป็นนายแล้วครองอำนาจได้เพียงสามวันก่อนถูกโค่นล้ม)
ไม่มีเลขใดจะมั่นคงเท่าสามอีกแล้ว」
「แต่ฉันว่าอันสุดท้ายมันไม่มั่นคงเลยว่ะ」
หากถามว่าสามหมายถึงอะไรในกระจกสามเหลี่ยม, ลองมองที่ความใสของมันก็จะคาดเดาได้ทันที
ความใส หมายถึง ผู้ที่มิอาจมองเห็น กล่าวคือเป็นสัญลักษณ์ของเทพ
หากถามว่าแต่แรกเริ่มเดิมทีมีอะไรอยู่ที่อีกด้านของม่านไม้ไผ่ในศาลเจ้า, ที่จริงแล้วมีแค่บรรยากาศอันผ่องใสเท่านั้น
สถานที่ซึ่งทำการสักการบูชาและรู้สึกได้ถึงเทพจากบรรยากาศอันผ่องใส ก็คือศาลเจ้านั่นเอง
และเมื่อพูดถึงสถานที่ซึ่งเทพใช้ในการประทับองค์, มันก็คือ 『อามะ』 นั่นเอง
「สรุปก็คือ สามด้านของกระจกสามเหลี่ยมหมายถึงที่ประทับทั้งสามของเทพ คือ สวรรค์ ทะเล ฝน (สามคำนี้สามารถอ่านว่า อามะ ได้)
หากกล่าวถึงอามะทั้งสามนี้แล้วจะบ่งชี้ถึงเทพอะไร, เรย์มุน่าจะรู้คำตอบนะ」
「อ่า--- เอ่อ--- รุ้งสินะ」
「... ...ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรุ้งนะ
จริงๆแล้วเธอฟังตามทันรึเปล่าเนี่ย ?」
「ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติก็เถอะ แต่เล่าไม่ปะติดปะต่อกันเกินไปแล้วนะ
อธิบายช้าๆให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ ?」
คนที่ถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็คือเรย์มุเอง, ถ้ารู้จักคิดด้วยตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยก็คงจะดี
และผมไม่ได้มีหน้าที่สอนให้เข้ากับจังหวะของเรย์มุ
ดังนั้นไม่ว่าเรย์มุจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม, ผมก็จะอธิบายต่อไป
「ก็นั่นไง, คราวก่อนเคยเอากระดูกของสัตว์ขนาดยักษ์มาไม่ใช่เหรอ, ตอนนั้นก็อธิบายเหมือนครั้งนี้ว่าเป็นกระดูกของ 『มังกร』 นี่นา ?」
กระจกสามเหลี่ยมนั้น แค่มีความใสกับสามเหลี่ยมก็แสดงถึงการเป็นที่อาศัยของมังกรแล้ว
「ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันดีนี่นาว่า สายรุ้ง คือร่องรอยการผ่านทางของมังกร
ดังนั้น กระจกสามเหลี่ยมนี้ก็แบบว่า――ในกรณีนี้เมื่อมีแสงลอดผ่าน ก็จะก่อให้เกิดรุ้งออกมาไงล่ะ」
「ดะ เดี๋ยว หยุดก่อน
จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่รู้กันดีก็จริง แต่ทำไมมังกรต้องเหลือสายรุ้งเอาไว้ด้วยล่ะ ?」
ให้ตายสิ, มีแต่คำถามจนงานของผมไม่คืบหน้าเสียที
วันนี้อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะตรวจสอบวิธีใช้กล้องถ่ายรูปสักหน่อย... ...เอ๊ะ เรย์มุมาตามหามาริสะไม่ใช่เหรอ ?
ใจเย็นน่าดูเลยนะเนี่ย
ดูเหมือนตอนนี้ทั้งสองคนจะรอคำตอบของคำถามจนลืมจุดประสงค์ดั้งเดิมของตนเองไปเสียแล้ว
「งั้นเหรอ
ทำไมมังกรถึงเหลือสายรุ้งเอาไว้งั้นเหรอ... ...อืม
เรื่องนั้นมันค่อนข้างยากนิดหน่อยนะ
บอกไว้ก่อนเลยละกันว่า บางทีเรย์มุอาจจะยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ก็เป็นได้」
「ดูถูกกันขนาดนั้นได้ไง
ถ้าคุณรินโนะสุเกะอธิบายอย่างประณีตบรรจงกว่านี้ล่ะก็, ต้องเข้าใจได้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ」
「งั้นพูดถึงข้อสรุปก่อนละกัน, มังกรเหลือเจ็ดสีของสายรุ้งเอาไว้เพื่อสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้นจากโลกทั้งสามที่สมบูรณ์แบบ」
「เปิดเรื่องมาก็ยิ่งใหญ่อลังการเลยนะ」
「ก็แหม, มังกรเป็นเทพสูงสุดแห่งเกนโซวเคียวและเป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างและการทำลายล้างนี่นะ
ระดับแตกต่างจากพวกโยวไคในละแวกนั้นหลายเท่าตัวเลยล่ะ」
โลกที่กลมกลืนอย่างสมบูรณ์นั้นไม่มีช่องว่างพอที่จะให้กำเนิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมาได้อีกแล้ว
ฝนตกลงมาจากสวรรค์ แล้วหลั่งไหลลงสู่ทะเล จากนั้นน้ำก็ระเหยกลายเป็นเมฆ ด้วยพลังของสวรรค์
โลกแห่งอามะที่สมบูรณ์นั้นถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ด้วยอามะทั้งสามเท่านั้น
มังกรจึงนำความไม่กลมกลืนมาสู่โลก โดยเปลี่ยนให้เป็นโลกที่ก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจากความไม่กลมกลืนนั้น
โลกจึงถูกประกอบขึ้นจาก 『พลังทั้งสิบ』 ซึ่งมาจาก 『เจ็ด』 สีของสายรุ้งที่ถูกเติมเต็มด้วย 『สาม』 อันสมบูรณ์
「ด้วยเหตุนี้เอง, สสารทั้งหลายในเกนโซวเคียวจึงถูกสร้างและทำลายด้วยปฏิกิริยาทั้งสิบนี้」
「โอ้, ถ้าอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่ะ
เพราะเป็นเรื่องที่ฉันเชี่ยวชาญน่ะนะ」
「เรื่องที่มาริสะเชี่ยวชาญเนี่ยนะ... ...มันคืออะไรเหรอ ?」 ไม่รู้ว่าเรย์มุถามแบบจริงจังหรือล้อเล่นกันแน่
「เอ่อ, เห็นอย่างนี้ฉันก็เป็นจอมเวทนะว้อย
ตกใจใช่มั้ยล่ะ ?
และที่ยิ่งกว่านั้นคือ เรย์มุนี่ไม่สมกับเป็นมิโกะเลยนะ」
「อืม
เพราะสสารกับปฏิกิริยาเป็นหนึ่งในความรู้ที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ใช้เวทมนตร์น่ะนะ
ผมเองก็รู้ดีว่าที่จริงแล้วเธอเป็นเด็กที่ขยันเรียนมากคนหนึ่ง」
「ไม่ใช่การเรียนหรอก
ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นจากการอ่านหนังสือและการขัดเกลาเวทมนตร์ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันน่ะ ไม่นับว่าเป็นการเรียนหรอก」
「เห, เห็นมาริสะเป็นแบบนี้แต่ก็ขยันขันแข็งน่าดูเลยน้า
แล้วเห็นผลลัพธ์บ้างรึยังล่ะ ?」
สสารประกอบขึ้นจาก ไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ
เมื่อปัจจัยทั้งห้านี้ทำปฏิกิริยาร่วมกันด้วยพลังทั้งสิบ ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องโดยไร้ความเสถียรอย่างไม่สิ้นสุด
พลังทั้งสิบ ประกอบด้วย
ไม้ก่อไฟ, ไฟสร้างดิน, ดินเลี้ยงทอง, ทองกลั่นน้ำ, น้ำเลี้ยงไม้, ไม้สูบดิน, ดินดูดน้ำ, น้ำดับไฟ, ไฟหลอมทอง, ทองตัดไม้
พลังที่เกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อนนี้ไม่ได้เกิดระหว่างสสารเพียงสองอย่างเท่านั้น
หากพลังของทองอ่อนแอลง ไม้ก็จะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ถ้าไม้แข็งแกร่งขึ้น ไฟก็จะแกร่งตาม ดินก็จะแกร่งด้วย ยังผลให้ทองแกร่งขึ้น และเมื่อทองแกร่งขึ้น ไม้ก็จะอ่อนแอลง
การเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องของพลังที่ไม่มีวันเสถียรนี้ทำให้เกิดการสร้างและลบล้างสสารต่างๆอย่างไม่สิ้นสุด
「สรุปย่อๆก็คือ, สาเหตุที่ฉันแพ้เรย์มุอยู่เรื่อยก็เพราะพลังพวกนี้สินะ」
「ข้อแก้ตัวที่เกิดจากการสรุปย่อๆเกินไปแบบนั้นน่ะ จะพูดยังไงฉันก็ไม่สนหรอก
ว่าแต่มันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะ ?」
「เพราะว่ามาริสะเป็นน้ำ ส่วนเรย์มุเป็นไม้ ไงล่ะ
เพราะว่าน้ำเลี้ยงไม้... ...น้ำก็เลยเสียเปรียบมากขึ้นทีละน้อย
แต่ถึงไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้ากันไม่ได้, กลับกันดันเข้ากันได้ดีสุดๆเลยนะ」
「ฉันเป็นไม้ มาริสะเป็นน้ำ... ...งั้นคุณรินโนะสุเกะเป็นอะไรล่ะ ?」
เรย์มุเป็นคนที่มองแล้วนึกถึงฤดูใบไม้ผลิ และเธออาศัยอยู่ในศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ ณ ตะวันออกสุด, ซึ่งนั่นเป็นสัญลักษณ์แห่งไม้
ส่วนมาริสะชอบใส่ชุดสีดำและอาศัยอยู่ในป่าที่แสงแดดส่องไม่ถึง, นั่นคือน้ำ
ส่วนผม... ...ก็เป็นไปตามชื่อของผม ดังนั้นผมจึงเป็นน้ำ
(森近 โมริจิกะ (ใกล้ป่า) 霖之助 รินโนะสุเกะ (ช่วยให้ฝนตกยาวนาน))
「หลุดจากเรื่องกล้องถ่ายรูปมาไกลน่าดูเลยนะ
เป็นเพราะพวกเธอเอาแต่ถามไม่หยุดนั่นแหละ」
「อืม
ยังมีเรื่องของท่านเทพมังกรที่ยังไม่เข้าใจอยู่อีกเพียบเลยแฮะ」
「เป็นเพราะมังกรไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นนั่นล่ะนะ
แต่ไม่ต้องรีบทำความเข้าใจกับเรื่องที่ได้ฟังในวันนี้ก็ได้ เอาไว้ค่อยๆคิดและพิจารณาอย่างรอบคอบทีหลังก็ได้
พอทำแบบนั้นแล้วก็น่าจะมองเห็นโครงสร้างของสังคมได้แจ่มชัดมากขึ้น
ว่าแต่, แล้วงานชมดอกไม้จะไม่เป็นไรเหรอ ? ตั้งแต่เธอมาที่ร้านก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วนะ」
「อ๊า, ลืมไปเลย ! วันนี้อุตส่าห์เชิญแขกขาจรมาแท้ๆ」
「แขกขาจร ?」
「วันนี้พวกเทนกุเองก็จัดงานชมดอกไม้ด้วย เพราะเป็นวันเซย์เมย์น่ะ
วันนี้พวกฉันเองก็... ...เอ่อ ก็จัดอยู่เป็นประจำอยู่แล้วน่ะนะ, เลยบอกไปว่านานๆครั้งก็มาจัดงานร่วมกันดีมั้ย
ว่าไงล่ะ ? คุณรินโนะสุเกะไม่มาด้วยกันเหรอ ?」
「อาจได้เรียนรู้โครงสร้างของกล้องถ่ายรูปจากเทนกุก็ได้นะว้อย」
นั่นสินะ, ถ้าอยากรู้โครงสร้างของกล้องถ่ายรูป ก็ไปถามจากเทนกุเอาก็ได้นี่นา
ทำไมผมไม่รู้สึกตัวถึงเรื่องที่เรียบง่ายแบบนี้นะ... ...เอ๊ะ เทนกุ !?
「เทนกุงั้นเหรอ !?
ไม่อยากเจอเลยแฮะ
น่าเสียดายนะแต่ผมไม่อยากเข้าร่วมงานชมดอกไม้แบบนั้นหรอก」
「เอาเถอะ นึกอยู่แล้วว่าต้องพูดแบบนั้น
มีเทนกุอยู่ก็จะได้ถ่ายรูปที่ระลึกด้วยนะ น่าสนุกดีออก」
「ฉันขอเอากระจกสามเหลี่ยมนี่ไปด้วยนะว้อย
จะลองเสนอความคิดเรื่องภาพถ่ายแบบมีมิติให้พวกเทนกุดูว่าจะเป็นยังไงบ้าง
อาจทำหนังสือพิมพ์แบบมีมิติขึ้นมาได้ก็ได้นะ」 ทั้งสองพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นแล้วกลับไป
และแล้วกระจกสามเหลี่ยมก็ถูกฉกเอาไปจริงๆด้วย
เห็นเล่นอยู่ตลอดเวลา คงจะถูกใจมากแน่ๆ
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของที่ล้ำค่าอะไรมากมาย แต่ก็อยากให้จ่ายเงินสักหน่อย เพราะสินค้าก็คือสินค้า
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการจัดงานเลี้ยงกับเทนกุ... ...ซึ่งผมกังวลอยู่นิดหน่อย
เทนกุเป็นนักดื่มเหล้าผู้ไร้เทียมทาน ซึ่งนักดื่มเหล้าชาวมนุษย์มิอาจเทียบเทียมได้เลย
ว่ากันว่าปริมาณการดื่มของพวกเทนกุนั้นไม่แพ้พวกยักษ์เลยทีเดียว
ถ้าเป็นเทนกุตนเดียวยังพอว่า แต่ถ้าเป็นงานเลี้ยงร่วมกับเหล่าเทนกุล่ะก็... ...
เหตุผลที่ผมไม่อยากร่วมงานชมดอกไม้ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าผมเกลียดความอึกทึกครึกโครม
แต่เป็นเพราะถ้าสอบถามพวกเทนกุเรื่องกล้องถ่ายรูป ก็มีแต่จะถูกแหย่เล่นกลับมาเท่านั้น
คงจะพูดว่า 「ถ้าอยากรู้ก็จงดื่มซะ ถ้าไม่ดื่มก็ไม่บอก」 แล้วก็โดนจับดื่มเหล้าจนกว่าจะจำอะไรไม่ได้ไปเลย
เทนกุเป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นแหละ
ก่อนอื่นก็ต้องเก็บกวาดข้าวของในร้านที่กระจัดกระจาย, จากนั้นค่อยลองเล่นกล้องถ่ายรูปดูอีกที
เรื่องนี้คงต้องตรวจสอบด้วยตัวเองเท่านั้น
พรุ่งนี้ทั้งสองคงมีเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟัง
ถ้ายังจำอะไรติดหัวเอาไว้ได้, น่ะนะ
สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- ภาพประกอบภาพแรก รินโนะสุเกะใช้แท่ง Prism สามอันสร้างภาพโฮโลแกรมของต้นซากุระ แต่ในเนื้อหาบอกว่ายังทำไม่ได้
บางทีอาจเป็นการสื่อถึงผู้อ่านว่า ภาพประกอบที่มิได้วาดโดยท่าน ZUN นั้นมิอาจใช้อ้างอิงเนื้อหาได้...ก็เป็นได้
- รินโนะสุเกะไม่รู้ว่าวันเซย์เมย์ (5 เมษายน) คือวันไหน บางทีเขาอาจจะไม่ค่อยรู้วันเดือนปีก็เป็นได้
- จากภาพประกอบที่สอง จะเห็นได้ว่าแท่ง Prism มีขนาดใหญ่มาก ทั้งที่ในเนื้อหาบอกว่าขนาดแค่เท่านิ้วโป้ง
บางทีอาจเป็นการสื่อถึงผู้อ่านว่า ภาพประกอบที่มิได้วาดโดยท่าน ZUN นั้นมิอาจใช้อ้างอิงเนื้อหาได้...ก็เป็นได้
- ตอนที่ 19 นี้วางจำหน่ายก่อนหนังสือสารานุกรม ซึ่งมีการเสริมเรื่องราวเกี่ยวกับเทนกุและกัปปะให้ละเอียดยิ่งขึ้น
.........................................................................................................................................................................................
กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้