東方香霖堂 ~ Curiosities of Lotus Asia.
โทวโฮวโควรินโดว (ร้านโควรินโดวแห่งตะวันออก) ~ ความอยากรู้อยากเห็นของดอกบัวเอเชีย
.........................................................................................................................................................................................
ตอนที่ 24
「พระจันทร์ที่ชุ่มชื้น」
แผ่นดินที่หิมะเพิ่งจะละลายไปได้ถูกย้อมเป็นสีขาวด้วยดอกซากุระที่ร่วงโรย
แม้จะลืมดูปฏิทินไประยะหนึ่ง แต่ดูจากทิวทัศน์ภายนอกก็พอจะบอกได้ว่าเดือนสี่กำลังจะผ่านพ้นไป และใกล้จะเข้าเดือนห้าแล้ว
ผมคิดว่าซากุระปีนี้บานช้าไปหน่อย แต่ความแตกต่างแค่ไม่กี่วันนั้นไม่ถือว่าเป็นเหตุวิปลาสหรืออะไรทั้งนั้น
ก็แค่ฤดูหนาวปีนี้มีจำนวนวันที่อากาศอบอุ่นน้อยลงนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ทั้งนี้เพราะดอกซากุระจะผลิบานในวันที่อากาศอบอุ่นเท่านั้น หากเป็นวันที่อากาศหนาวเย็นก็จะหุบสนิท
ถ้าวันที่อากาศอบอุ่นลดน้อยลง ซากุระก็จะบานช้าลง
จะว่าไป, ผมเคยลองอ่านบันทึกที่เหลืออยู่น้อยนิดในเกนโซวเคียว, มันเขียนไว้ว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซากุระจะบานในช่วงต้นเดือนสามของเกนโซวเคียว
ส่วนเกนโซวเคียวในปัจจุบัน กว่าซากุระจะบานก็ช่วงปลายเดือนสี่ถึงต้นเดือนห้า, พอลองคิดดูก็ต้องจัดว่าต้นเดือนสามนี่ไวเอาการ
แสดงว่าอุณหภูมิในฤดูหนาวสมัยก่อนอบอุ่นกว่าตอนนี้อย่างมาก, ถึงขนาดที่ซากุระบานเร็วกว่าเกินหนึ่งเดือนครึ่งเลยหรือ ?
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น, ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ฤดูหนาวก็ยังเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็นเหมือนเคย
การที่ซากุระเคยเบ่งบานในเดือนสามนั้นเป็นเพราะสาเหตุอื่นต่างหาก
「――ถ้าเป็นฉันนะ, จะยิงกลีบซากุระทุกใบที่ร่วงลงมาเลยว้อย」
「อะไรกัน, ถ้าเป็นฉันนะ, จะหลบกลีบซากุระทุกใบที่ร่วงลงมาให้ดูเลย」
「หลบของที่ร่วงลงมาช้าๆแบบนั้นมันไม่เห็นจะน่าภูมิใจตรงไหนเลยว่ะ」
「พูดอะไรของเธอน่ะ
บางครั้งกระสุนช้าหลบยากกว่ากระสุนเร็วอีกนะ」
เรย์มุและมาริสะกำลังโต้คารมกันอย่างไร้สาระ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
วันนี้มีกำหนดการว่าจะชมดอกไม้กัน แต่ก็ยกเลิกไปแล้ว
แถมซากุระเหล่านั้นก็เริ่มร่วงโรยและกลายเป็นสีเขียวเด่นสะดุดตาแล้ว บางทีวันนี้อาจเป็นการจัดงานครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นได้
ต่อให้เป็นซากุระที่ล้ำค่าก็มิอาจชื่นชมได้เพราะสายฝนซึ่งไร้ความรู้สึก, ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงรอกันว่างๆอยู่ในร้านเท่านั้น
กำหนดการชมดอกไม้ผิดเพี้ยน และคงกำลังกังวลใจว่าสภาพอากาศที่เลวร้ายจะทำให้ดอกไม้ชุดสุดท้ายร่วงโรยไปจนหมดรึเปล่า
พอไม่มีที่ไปก็หงุดหงิดจนหลุดออกมาจากปาก และกลายเป็นการโต้คารมในที่สุด
「ยิงของที่บอบบางอย่างกลีบดอกไม้ไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าภูมิใจเลยนี่」
「งั้นถ้าจะภูมิใจล่ะก็ ฉันคงเป็นอันดับหนึ่งสินะ
เรื่องการภูมิใจที่ได้ยิงกลีบดอกไม้เนี่ย」
「เอ้า ทั้งสองคนน่ะเลิกโต้คารมได้แล้ว
งานชมดอกไม้จบแล้ว ฤดูร้อนก็ใกล้เข้ามาแล้ว,
สิ่งที่ทำให้กลีบซากุระร่วงโรยคือสายฝนฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่สายลมฤดูใบไม้ผลิ มันก็เท่านั้นเอง
อย่ามัวแต่โต้คารมไร้สาระกันอยู่เลย, คิดถึงเรื่องการก้าวไปข้างหน้าให้มากกว่านี้ดีกว่าน่า」
「พูดว่าไร้สาระนี่เสียมารยาทนะ
พวกฉันกำลังค้นหาสายสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างพวกฉันกับซากุระต่างหากล่ะ
มันก็คือการก้าวไปข้างหน้าใช่มั้ยล่ะ ?」
「เป็นการก้าวไปข้างหน้าถึงขั้นคาดการณ์ไปยังอนาคตอันแสนไกลเลยล่ะว้อย」
วิธีการพูดมันก็เหมือนกับการก้าวไปข้างหน้าอยู่หรอก แต่เอาแค่อนาคตที่ใกล้ตัวกว่านี้สิ
ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ควรจะทำอะไรดี แบบนั้นน่าจะเหมาะกว่านะ
「พวกฉันกำลังก้าวไปข้างหน้าแบบไม่เหลียวกลับไปมองอดีตเลยก็จริง
แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานยูคาริพูดอะไรทำนองว่า 『ซากุระในเกนโซวเคียวบานช้าแบบนี้ก็ดีนะ』 ออกมาน่ะ」
「หือ ? แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงเหรอ ?」
「ยูคาริบอกว่า 『ฤดูหนาวของโลกภายนอกสั้นลงอย่างมากเลยน้า, เดี๋ยวนี้ซากุระเบ่งบานและร่วงโรยตอนกลางเดือนสามเลยล่ะ』」
เรย์มุอธิบายด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยอย่างน่าประหลาด
คิดจะเลียนแบบยูคาริงั้นหรือ... ...แต่ก็ไม่คล้ายเลยสักนิด
ดัดแปลงมากเกินไปจนไม่รู้เลยว่าหมายถึงใครกันแน่
「งะ.. งั้นเหรอ, แล้วเธอได้พูดอะไรเกี่ยวกับการที่ฤดูหนาวสั้นลงบ้างรึเปล่าล่ะ ?」
「บอกว่า 『ปีนี้ได้สนุกกับซากุระสองครั้งเลยล่ะ』 น่ะ
ทั้งซากุระของโลกภายนอก และซากุระของเกนโซวเคียว」
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอจึงชมดอกไม้ในยามราตรีเฉพาะที่เกนโซวเคียวเท่านั้น
แต่ต่อให้ช่วงเวลาที่ซากุระของเกนโซวเคียวกับโลกภายนอกเบ่งบานไม่พร้อมกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องสะดวกสำหรับโยวไคอยู่ดี
(เพราะเกนโซวเคียวมีมหาเขตแดนฮาคุเรย์อยู่ การเข้า-ออกเกนโซวเคียวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย)
「งั้นเหรอ, ซากุระที่โลกภายนอกบานสะพรั่งตั้งแต่เดือนสามเลยเหรอ
อย่างนี้นี่เอง, ฤดูหนาวของโลกภายนอกคงอบอุ่นขึ้นสินะ
แต่แบบนั้นก็ไม่เลว
พวกเธอสองคนดูท่าจะกำลังเบื่อ, ดังนั้นฉันจะเล่าเรื่องประหลาดให้ฟังละกัน」
พูดจบก็มองไปทางหน้าต่างเล็กน้อย
รู้สึกว่าฝนจะซาลงกว่าเมื่อกี้นิดหน่อย, แต่ด้านนอกของหน้าต่างยังคงเปียกชื้นอยู่
แม้แต่ดอกซากุระที่อดทนมาได้จนถึงตอนสุดท้ายก็คงจะถูกพัดไปจนหมดสิ้นด้วยสายฝนฤดูใบไม้ผลินี้กระมัง
「เรื่องประหลาดที่ว่าเนี่ยคืออะไรเหรอ ?」
「ที่จริงก็แค่ข้อมูลเล็กๆน้อยๆน่ะ
ถึงจะบอกว่าซากุระของโลกภายนอกเริ่มบานตั้งแต่เดือนสาม, แต่สมัยก่อนทั้งเกนโซวเคียวและโลกภายนอกต่างก็บานในเดือนสามนะ」
「เคยบานในเดือนสาม... ...เอ๊ะ, จะบอกว่าบานเร็วกว่าตอนนี้ตั้งเดือนกว่าเลยเหรอ ?」
「แบบนั้นก็ต้องชมดอกไม้ทั้งที่อากาศหนาวน่ะสิวะ」
「ไม่หรอก, ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้หมายความว่าบานเร็วขึ้นตั้งเดือนกว่า
ก็แค่เคยบานในเดือนสามเท่านั้นเอง」
「อะไรล่ะนั่น
ปริศนาธรรมแห่งเซนเหรอ ?」
(หมายถึงการถามตอบปริศนาทางธรรมของนิกายเซน ซึ่งคนนอกจะไม่เข้าใจว่าถามตอบกันเรื่องอะไร)
「ปฏิทินเก่าน่ะ
ตอนนี้ไม่ค่อยมีใครจำได้แล้ว แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเขาใช้ปฏิทินจันทรคติกันนะ
เดือนสามของปฏิทินเก่า ตรงกับปลายเดือนสี่ของปฏิทินใหม่น่ะ
ถ้าใช้ปฏิทินเก่า, ช่วงที่ซากุระบานก็คือเดือนสาม มันก็เท่านั้นเอง」
「ปฏิทินเก่า ? อ๋อ, ปฏิทินเก่าสินะ」
「นี่, ฉันเคยสงสัยบ้าง เลิกสงสัยบ้าง มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ, ว่าปฏิทินเก่านี่มันคืออะไรเหรอ ?
แล้วทำไมถึงต้องเลิกใช้ปฏิทินเก่าด้วยล่ะ ?」
――ผมเตรียมน้ำชาซากุระที่มีกลีบซากุระหมักเกลือลอยอยู่บนผิวให้กับทั้งสองคน
ค่อยๆรินน้ำร้อนลงไปช้าๆ, เมื่อดอกซากุระบานในภาชนะจึงค่อยเริ่มดื่ม
ต่อให้ไม่ได้อยู่ใต้ดอกซากุระ ผมก็มีวิธีหลากหลายที่จะสนุกไปกับดอกซากุระ
「ไม่เคยนึกมาก่อนนะเลยว่าคุณรินโนะสุเกะจะชงน้ำชาที่เก๋ไก๋แบบนี้ได้ด้วย」
「คุยกันถึงเรื่องที่ว่าปฏิทินเก่าคืออะไรสินะ」
「แล้วก็เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินใหม่น่ะ」
「ปฏิทินเก่าเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ เป็นปฏิทินที่มีพื้นฐานมาจากการแหว่งของพระจันทร์
ปฏิทินจันทรคติจะคิดตามการแหว่งของพระจันทร์หนึ่งรอบ
ตั้งแต่ขึ้นหนึ่งค่ำจนถึงขึ้นหนึ่งค่ำครั้งใหม่ กินเวลาประมาณ 29-30 วัน คิดเป็นหนึ่งเดือน และสิบสองเดือนคิดเป็นหนึ่งปี」
「อ้อ แสดงว่าสาเหตุที่ใช้คำว่า 『เดือน』 ในการแบ่งช่วงเวลาของปีก็เพราะอย่างนี้เองน่ะสินะ」
「ถูกต้องตามนั้น
และถึงจะเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินสุริยคติซึ่งเป็นปฏิทินใหม่แล้ว, ก็ยังคงใช้คำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ว่าปฏิทินสุริยคติที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 30-31 วันในหนึ่งเดือน ดังนั้นปฏิทินจันทรคติจึงมีจำนวนวันน้อยกว่า
หนึ่งปีในปฏิทินเก่าจึงสั้นกว่าหนึ่งปีในปฏิทินใหม่อยู่ประมาณสิบวัน」
「สิบวันต่อหนึ่งปี, ยังอยู่ในค่าที่ยอมรับได้นะ」
「ไม่เลย ไม่เลย ไม่ใช่แบบนั้นหรอก
ต่างกันสิบวันต่อหนึ่งปีแบบนั้นก็แย่น่ะสิ
ถ้าผ่านไปสักสิบปีนี่ถึงขั้นมีหิมะตกในฤดูใบไม้ผลิเลยนะ
ถ้าผ่านไปยี่สิบปี, ฤดูร้อนกับฤดูหนาวก็จะสลับที่กันอย่างสมบูรณ์แบบเลย」
「เป็นฤดูหนาวที่อบอุ่นดีนะ」
「ฤดูหนาวที่ร้อนมากกว่ามั้ง ?」
「ด้วยอารมณ์ประมาณนั้น ก็เลยทำให้ฤดูกาลในความเป็นจริงคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงมีการกำหนดในปฏิทินเก่าว่าทุกสามปีจะมีอยู่หนึ่งปีที่มี 13 เดือนน่ะ」
「นี่คือสาเหตุว่าทำไมถึงเคยได้ยินคำว่า <เดือนสิบสาม> เป็นบางครั้งสินะ」
มาริสะกำลังคำนวณเวลาในการดื่มน้ำชาซากุระ
เธอคงไม่รู้ว่าต้องรอเท่าไรถึงจะเหมาะแก่การดื่ม
ส่วนเรย์มุนั้นเริ่มดื่มไปนานแล้ว
「ไม่หรอก น่าเสียดายนะแต่ว่ามันไม่ใช่น่ะ
ถึงจะเป็นปีที่มีสิบสามเดือน แต่ก็ไม่มีเดือนสิบสามหรอก
สาเหตุก็คือ เขาเอาเดือนแถมไปต่อท้ายให้กับเดือนที่ฤดูกาลคลาดเคลื่อนมากที่สุดนั่นเอง
หากเดือนสามยังหนาวอยู่ก็จะทำเป็นว่า 『นี่คือความหนาวของเดือนสอง』 ส่วนเดือนถัดจากเดือนสามก็กลายเป็นเดือนสามนั่นเอง」
「ว่ากันตามความรู้สึกแบบนั้นเลยเหรอ ? มั่วสิ้นดีเลยแฮะ」
「แน่นอนว่าในความเป็นจริงมีความพยายามที่จะคำนวณอย่างละเอียด
แต่การคำนวณนั่นก็เป็นแค่อุปกรณ์สำหรับบ่งชี้ความรู้สึกออกมาเป็นตัวเลขเท่านั้น
เบื้องหลังการคำนวณทั้งหมดนั่นล้วนมีความรู้สึกแอบแฝงอยู่」
「แต่ว่า ให้มีเดือนเดียวกันสองครั้งเนี่ยมันไม่ยุ่งยากไปหน่อยเหรอวะ ?
ให้เป็นเดือนสิบสามไปเลยจะเข้าใจง่ายกว่านะ」
「เดือนแถมซึ่งถูกใช้เป็นครั้งที่สองน่ะ เขาเรียกว่า เดือนอธิกสุรทิน เพื่อแยกแยะให้รู้ว่าเป็นอีกเดือนหนึ่ง
ตัวอย่างเช่นเดือนสามครั้งที่สอง ก็จะเรียกว่า เดือนสามอธิกสุรทิน น่ะ
แต่เดือนอธิกสุรทินนี่มันก็ยังยุ่งยากเกินไป แถมต่อให้เอามาใช้ก็ไม่ช่วยให้ตรงรอบกับฤดูกาลอยู่ดี จนชวนให้น่าสังเวชใจชอบกล
ก็เลยเป็นสาเหตุให้เปลี่ยนจากปฏิทินเก่าเป็นปฏิทินใหม่น่ะ
ดังนั้นปฏิทินสุริยคติแบบปัจจุบันจึงเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็วไงล่ะ」
「เห, คนสมัยก่อนสร้างปฏิทินขึ้นมาโดยคิดอะไรยุ่งยากแบบนั้นสิน้า
จริงๆแล้วไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นโยวไครึเปล่า ?
ทำไมถึงไม่ใช้ปฏิทินแบบปัจจุบันนี้ซะตั้งแต่แรกน้อ」
「คงเป็นเพราะปฏิทินแบบจันทรคติมันสะดวกต่อโยวไคมากกว่าล่ะมั้ง
เพราะสามารถรู้ได้ทันทีว่าวันไหนจะเป็นวันขึ้นหนึ่งค่ำ วันไหนจะเป็นวันเพ็ญ
ยิ่งวิทยาการของมนุษย์ก้าวหน้า, พระจันทร์ก็ยิ่งถูกกดดันโดยพระอาทิตย์จนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆล่ะมั้ง」
「แต่ว่าน้า, เกนโซวเคียวมีโยวไคเยอะกว่ามนุษย์นี่นา ? ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ปฏิทินใหม่เลยน้า」
「สาเหตุที่เกนโซวเคียวเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินใหม่ก็คือโลกภายนอกเปลี่ยนไปใช้ปฏิทินใหม่, มันก็แค่นั้นแหละ
ถึงจะถูกตัดขาดจากกัน แต่ถ้าไม่ใช้ปฏิทินเดียวกันกับโลกภายนอก มันก็จะไม่สะดวกในหลายๆเรื่องนะ
ตัวปฏิทินสุริยคติเองก็ไม่ใช่ปฏิทินที่ถูกสร้างขึ้นในเกนโซวเคียวอยู่แล้วด้วย」
「ก็นั่นน่ะสิ
โยวไคเลิกใช้พระจันทร์แล้วเลือกพระอาทิตย์แทนเนี่ยนะ, คิดยังไงมันก็แปลกนา」
「เพราะว่าฝืนเปลี่ยนทั้งที่มิได้ต้องการอย่างที่เธอว่า ก็เลยมีโยวไคในเกนโซวเคียวหลายตนที่ยังไม่คุ้นเคยกับปฏิทินใหม่ไงล่ะ
จะว่าไปแล้ว, รู้สึกว่าในเกนโซวเคียวจะมีปฏิทินจันทรคติแบบพิเศษที่พวกโยวไคสร้างขึ้นด้วยนะ」
――ทั้งสองคนอารมณ์ดีขึ้นและกำลังฟังเรื่องเล่าของผม, ผิดจากตอนที่โต้คารมไร้สาระกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
「ปฏิทินจันทรคติของเหล่าโยวไค, เรียกกันว่า ปฏิทินจันทรคติโยวไค
เป็นปฏิทินที่ไม่ได้ใช้การแหว่งของพระจันทร์ แต่คิดรอบตามลางดีลางร้ายและสีของแสงจันทร์
ดูเหมือนจะเป็นปฏิทินที่สามารถบอกคร่าวๆถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติได้มากมายยิ่งกว่าปฏิทินของมนุษย์
รู้สึกว่าจะไม่ได้ระบุเพียงฤดูกาลอย่างเดียว
แต่รวมไปถึงช่วงเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด และช่วงเวลาที่ดอกไม้ไผ่จะบานด้วย
กล่าวคือ แค่มองวันที่บนปฏิทินก็รู้ได้เลยว่าอีกนานแค่ไหนกว่าดอกไม้ไผ่จะเบ่งบาน」
(ปกติแล้วดอกไม้ไผ่จะเบ่งบานเพียงหนึ่งครั้งในรอบหกสิบปี)
「สุดยอดไปเลยนะนั่น
ถ้ารู้ได้ถึงขนาดนั้น, มนุษย์น่าจะรับปฏิทินนั่นมาใช้บ้างนะ
มันต้องมีประโยชน์มากแน่ๆเลยล่ะ」
「แต่ว่าปัญหาใหญ่สำหรับการที่มนุษย์จะนำปฏิทินนี้มาใช้ก็คือ ความยาวของหนึ่งวันมันไม่เท่ากับหนึ่งวันในปัจจุบันน่ะ
พูดให้ถูกก็คือ มันไม่มีหน่วยที่ใช้เรียก หนึ่งวัน
และหน่วยที่ต่ำสุดก็คือ หนึ่งเดือน
ถ้าให้ปรับเทียบกับหนึ่งวันของมนุษย์, รู้สึกว่าวันขึ้นหนึ่งค่ำจะเป็นเที่ยงคืน ส่วนวันเพ็ญจะเป็นเที่ยงวัน
แถมหนึ่งรอบของปฏิทินนี้ยังยาวนานถึงหกสิบปี... ...อาจจะเหมาะกับโยวไคที่มีอายุขัยยืนยาว
แต่ยังไงก็คงไม่เหมาะอย่างแรงกับมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้นใช่มั้ยล่ะ ?」
「หืม---
เกลียดหนึ่งวัน (วัน(日)=พระอาทิตย์) ก็เลยเลือก หนึ่งเดือน (เดือน(月)=พระจันทร์)
แสดงว่าพวกโยวไคต้องพึ่งพาพระจันทร์ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
ว่าแต่ว่า, ไม่เคยเห็นโยวไคใช้ปฏิทินแบบนั้นเลยว่ะ」
「ของที่แค่ลองสร้างขึ้นมาแบบนั้น, พวกโยวไคส่วนใหญ่คงไม่ได้ใช้กันหรอก
แต่เคยได้ยินว่าพวกโยวไคบนภูเขากำลังใช้กันอยู่นะ... ...
แต่ปฏิทินจันทรคติโยวไคนั่นก็มีเดือนที่ทำหน้าที่เหมือนเดือนอธิกสุรทินอยู่
เพียงแต่, มันไม่ได้ชื่อว่าเดือนอธิกสุรทิน แต่เรียกว่าเดือนสิบสามตรงๆเลย, ซึ่งเหล่าโยวไคจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษในปีที่มีเดือนดังกล่าว
และเพราะปีที่โยวไคแข็งแกร่งขึ้นดังกล่าว, บางท้องถิ่นถึงกับระบุว่า 13 เป็นเลขแห่งเคราะห์ร้ายสำหรับมนุษย์เลยนะ」
「13 คือเคราะห์ร้ายเนี่ยนะ ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ
ถึงจะเคยได้ยินว่ามีจั๊กจั่นสิบสามปีก็เหอะ... ...」
「เรื่องนั้นผมเป็นคนเล่าเองแหละ (รายละเอียดตาม link)
แต่เอาเถอะ, เรื่องที่ว่า 13 เป็นเลขแห่งเคราะห์ร้ายนั่นมันไม่ค่อยได้ยินกันในแถบนี้นี่นะ」
ผมมีความรู้เกี่ยวกับปฏิทินจันทรคติโยวไคอยู่เพียงเท่านี้
ถ้าถูกถามรายละเอียดมากกว่านี้ก็คงต้องเล่าโดยเดาเอาเองล้วนๆ, ผมจึงลุกขึ้นไปชงชา
แต่ถ้าชงชาซากุระก็อาจทำให้นึกถึงซากุระที่อยู่ข้างนอก แล้วสองคนนั่นก็จะอารมณ์เสียขึ้นมาอีก, ผมจึงเลือกชงชาธรรมดา
ผมได้เล่าเรื่องที่รู้ออกไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงจบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้
สิ่งที่ทำลายความเงียบงันก็คือ เสียงแห่งความสงสัยอย่างซื่อตรงของเรย์มุ
「ว่าแต่ว่านะ คุณรินโนะสุเกะ
อักษร 『閏 (อธิกสุรทิน)』 ที่อยู่ในเดือนปีที่เล่ามามันคืออะไรเหรอ ?
เวลาคุยกันเรื่องอื่นแทบจะไม่เห็นมีคำว่า 『อุรุอุ (閏)』 โผล่ออกมาเลยนี่นา... ...」
ไม่เคยคิดว่าเรื่องใดๆเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน หากสงสัยขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
การเติบโตของมนุษย์เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเพิ่มพูนของความรู้
การรู้จักอดีตให้ดีจะเกี่ยวพันไปถึงการรู้จักปัจจุบัน และรู้ไปถึงอนาคต
「อธิกสุรทินงั้นเหรอ ?
เอ่อ, อืม, อธิกสุรทิน เป็นอักษรของแผ่นดินใหญ่ที่มีความหมายว่า ไม่ใช่ของจริง
เดือนสามครั้งที่สองที่อยู่ต่อจากเดือนสามมันไม่ใช่เดือนสามของจริง ก็เลยเรียกว่าเดือนสามอธิกสุรทินน่ะ
ปฏิทินจันทรคติโยวไคไม่เอาอักษรคำว่า อธิกสุรทิน มาใช้ก็เพราะมันเป็นอักษรของแผ่นดินใหญ่
แถมคำว่า อธิกสุรทิน ก็มีใช้แค่ในปฏิทิน เป็นแค่อักษรที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้เข้ากับปฏิทินจันทรคติเท่านั้นเอง
และแต่เดิมประเทศนี้ไม่เคยมีแนวคิดเรื่องคำว่า อธิกสุรทิน อยู่แล้ว」
「อย่างนี้นี่เอง」
「แต่อักษรคำว่า อธิกสุรทิน (閏) นี้ที่แผ่นดินใหญ่เขาไม่ได้อ่านว่า 『อุรุอุ』
สาเหตุที่อ่านว่า 『อุรุอุ』 ก็... ...มันออกจะมั่วซั่วนิดหน่อยนะ
ยุคที่มีการนำอักษรนี้มาจากแผ่นดินใหญ่ ยังไม่มีภาษาญี่ปุ่นที่รองรับกับอักษรนี้ จึงไม่มีผู้ใดอ่านออก
ในตอนนั้นอักษรตัวนี้คล้ายกับคำว่า ชุ่มชื่น (潤) จึงเรียกกันว่า 『อุรุโอะอุ』
เดือนสามอธิกสุรทิน ก็เลยกลายเป็น เดือนสามที่ชุ่มชื้น, มั่วดีใช่มั้ยล่ะ ?
ต่อมาคำว่า 『อุรุโอะอุ』 มันเรียกยากก็เลยเพี้ยนเหลือแค่ 『อุรุอุ』
ดังนั้นตอนแรกคำว่า อุรุอุ จึงไม่มีความหมายใดๆ
สาเหตุที่คำนี้ไม่ค่อยไปโผล่ในบทสนทนาอื่นก็เพราะมันเป็นคำที่มีความเป็นมาแบบนี้นี่แหละ」
「รูปร่างคล้ายกันก็เลยอ่านว่า 『อุรุโอะอุ』 แล้วเพราะอ่านยากเลยกลายเป็น 『อุรุอุ』... ...มั่วซั่วจริงๆเลยนะ
คุณรินโนะสุเกะคิดว่าแบบนี้ดีแล้วเหรอ ?
คุณเป็นคนที่จู้จี้กับเรื่องชื่อของวัตถุมากกว่าคนทั่วไปนี่นา ?」
「สิ่งที่เรียกว่าคำพูดนั้นมันก้าวเดินไปด้วยตัวของมันเอง
ไม่ใช่ของที่ผมจะพูดสอดแทรกเข้าไปได้หรอกนะ
และผมเองก็ถูกใจวิธีการอ่านว่า 『อุรุอุ』 นี่เสียด้วย
ปีที่ชุ่มชื้น เดือนที่ชุ่มชื้น, ฟังแล้วไพเราะกว่าคำว่า เดือนที่ไม่ใช่ของจริง ตั้งเยอะเลยนะ ?」
「เดือนที่ชุ่มชื้นงั้นสินะ, แต่ว่าช่วงที่ซากุระบานมันไม่ต้องการฝนที่ชุ่มชื้นนี่น้า... ..เอ๊ะ, ฝนหยุดตกแล้วนี่นา !」
――ด้านนอกหน้าต่างมีอากาศแจ่มใสและมีแสงสาดส่องลงมาจากเมฆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ทั้งสองคนสามารถจัดงานชมดอกไม้ซึ่งเคยยอมตัดใจไปแล้วได้ ก็เลยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่
ถึงจะไม่รู้ว่ายังมีดอกซากุระเหลืออยู่รึเปล่า แต่บางทีสองคนนี้อาจคิดว่า ขอแค่ได้จัดงานเลี้ยงก็พอ เรื่องอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง ล่ะมั้ง
「คืนนี้คุณรินโนะสุเกะก็มาร่วมงานชมดอกไม้ด้วยกันสิ ?
นี่คงเป็นงานชมดอกไม้ครั้งสุดท้ายของปีนี้แล้วด้วย, ที่สำคัญ, ซากุระที่ชุ่มชื้นก็สวยดีนะ」
「ผมพูดอยู่เสมอนะว่า ผมไม่ชอบงานเลี้ยงนอกสถานที่น่ะ」
「แหม พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ
ฉันฟังเรื่องเล่าตั้งหลายเรื่องเลยนะ
อย่างน้อยก็ตอบแทนด้วยการไปร่วมงานเลี้ยงเถอะน่า」
ผมถูกเรียกร้องอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่ก็รู้สึกว่าไปร่วมงานชมดอกไม้ในคืนนี้ก็น่าจะดี
ถ้าหากยังมีดอกซากุระที่ไม่แพ้พ่ายต่อสายฝนฤดูใบไม้ผลิล่ะก็ ดอกไม้นั่นก็ควรค่าแก่การชื่นชม
ซากุระที่อมน้ำค้างไว้จนชุ่มชื้น จะร่วงโรยอย่างงดงามภายใต้พระจันทร์ที่ชุ่มชื้น
พอจินตนาการถึงโลกที่งดงามขนาดนั้นแล้ว ผมก็นึกอยากดื่มเหล้าขึ้นมา
สาระน่ารู้น่าสังเกต...
- เหมือนเป็นการบอกกลายๆว่า เรย์มุมีความสามารถในการหลบหลีกกระสุนสูงมากขนาดไหน
- รินโนะสุเกะไม่รู้ว่ายูคารินอนวันละ 12 ชั่วโมง โดยจะตื่นเฉพาะในเวลากลางคืน (แต่หากมีเหตุจำเป็นก็ตื่นกลางวันได้)
- อาจนัยถึงปฏิทินที่พวกเทนกุใช้ในการเขียนหนังสือพิมพ์ ซึ่งระบุว่าเป็น ปีฤดูกาล และ เดือนจันทรคติ
แต่ก็อาจจะไม่ใช่ เพราะในหนังสือพิมพ์มีการระบุวันด้วย แต่อาจเป็นการเขียนเพิ่มเติมของพวกเทนกุก็ได้ แต่ไม่มีข้อมูลที่ชี้ชัด
- คำว่า เดือนที่ชุ่มชื้น และ พระจันทร์ที่ชุ่มชื้น นั้นเขียนเหมือนกันในภาษาญี่ปุ่น
.........................................................................................................................................................................................
กลับไปที่สารบัญของหนังสือเล่มนี้